ตอนที่ 49 ท่านประธานถึงกับปืนหน้าต่างแอบลอบเข้ามา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 49 ท่านประธานถึงกับปืนหน้าต่างแอบลอบเข้ามา
ต๭นที่ 49 ท่านประธานถึงกับปืนหน้าต่างแอบลอบเข้ามา สุวิทย์กัดฟันพูด “ฝันไปเถอะ !” “ปล่อยฉัน” ในใจของเพ็ญจิตเริ่มสับสนวุ่นวาย ลมหายใจร้านผ่าวรินรดบนใบหน้าของเธอ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ สุวิทย์จ้องหองมบหน้าน้อยๆเอางดงามในระยะประชิด อารมณ์เดือดดาลจางหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ช่วงเวลาน้ำผึ้งพระจันทร์เมื่อห้าปีก่อนผุดขึ้นในใจเขา สาวงามปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจก็หวั่นไหว “คุณคิดว่าถ้าผมต่อยคุณแรงสักหมัดหรือจูบจนคุณพูดไม่ออก- - ” “ไม่.....อุบ....” เพ็ญจิตได้ยินดังนั้น ก็ยกมือขึ้นมาจะกุบปากไว้ แต่ว่ามือทั้งสองข้างกลับถูกสุวิทย์รวบจับไว้ด้านหลัง และการเคลื่อนไหวของเขาดันไวกว่าคำพูด เพิ่งจะปริปากพูดเสร็จ ริมฝีปากของเพ็ญจิตก็รับรู้ถึงอุณหภูมิอุ่นแปลกๆ ไม่เหมือนกับความอบอุ่นอ่อนโยนในวันก่อน สุวิทย์จูบอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธ มือข้างหนึ่งกำราบมือทั้งสองข้างของเธอกดไว้ที่ข้างเอว อีกข้างหนึ่งก็ยึดจับหลังคอของเธอไว้แน่น ไม่เปิดโอกาสให้เธอสลัดออก “เจ็บ - -” เพ็ญจิตออกแรงผลักเขา แต่ในขณะที่เพิ่งจะผลักออกก็กลับโดนเขาล็อกไว้โดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้ยินเสียงพูดว่าเจ็บของเพ็ญจิต สุวิทย์ก็ตระหนักได้ว่าเขาทำเกินไป แต่ท่าเขามิได้ยอมปล่อยออก ในทางตรงกันข้ามกลับรุกรานริมฝีปากของเธอด้วยความรัก ออกแรงเลียคลอเคลีย ดูดเลียปากของเธอจนปากชา จนกระทั่งสุวิทย์รับรู้ว่าร่างกายของเพ็ญจิตอ่อนปวกเปียก จึงยอมผ่อนแรงปล่อยเธอออก มุมปากของสุวิทย์ฉีกยิ้ม และพูดขึ้นอย่างมีนัย : “นี่ก็เพื่อให้คุณจำไว้ว่าใครเป็นผู้ชายของคุณ” “เฮ้อ.... ” เขาเพิ่งจะปริปากพูดไม่ทันจบก็ตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด เพ็ญจิตกลับออกแรงผลักเขา “สุวิทย์ นี่ก็เพื่อให้คุณจำไว้ว่า อย่าไปล้อเล่นกับความเป็นผู้หญิงที่ไหน” ฝ่ายเพ็ญจิตเมื่อขาดอากาศ สมองก็ว่างเปล่า เรื่องแรกที่ผุดขึ้นในหัวของเธอก็คือการทำให้เขาได้จดจำเอาไว้บ้าง เธอเกลียดการใช้กำลังมากที่สุด เพราะคิดว่าตัวเองเป็นชายถึงได้ถือเอาศักดิ์ศรีของคนอื่นเป็นเรื่องล้อเล่นไปได้ “คุณ - - เพ็ญจิต ผมแค่น้องขอสิทธิความเป็นผัวเมียเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง คุณถึงกับ--” มือของสุวิทย์เลื่อนไปที่ใบหน้า ด้วยฝ่ามือที่ร้อนผ่าว ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าเขามองผิดไปใช่หรือไม่ ? สาวน้อยที่แสนอ่อนโยนเมื่อห้าปีก่อน ทำไมถึงได้มุทะลุดุดันเช่นนี้ได้ ? เพ็ญจิตชักสีหน้าคร่ำเครียด มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่ เพราะการกระทำของเขาในวันนี้ได้ทำลายมันไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เดิมทีเธอยังลังเลอยู่ แต่ตอนนี้เธอตัดสินใจจะอย่าแล้ว “ขอบคุณที่เตือนฉัน ฉันตัดสินใจได้แล้ว พรุ่งนี้พวกเราไปดำเนินเรื่องจดทะเบียนหย่ากันเถอะ” “คุณพูดอะไร ?” สุวิทย์ได้ฟังดังนั้น อารมณ์ดาษดื่นแค้นเคืองโกรธที่จางหายไปเมื่อครู่ก็ปะทุครุกรุ่นขึ้นมาใหม่ “อย่า ? ฝันไปเถอะ เพ็ญจิต หลังจากคุณตบผมไปแล้วหนึ่งฉาด ยังคิดจะหย่าอีกหรอ ?” สุวิทย์ โมโหจนสติหลุด เอาแต่จูบเธอ ไม่ว่าจะโดนตบแรงแค่ไหน เธอยังจะหย่าอยู่อีก เมื่อห้าปีก่อนพวกเขายังเคยคลุกเคล้ากันอยู่บนเตียงเดียวกันอยู่เลย “เชิญคุณออกไป พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือน” เพ็ญจิตรู้คำตอบของเขาดี แต่ยังดือรั้นพูดต่อ แม้ว่าเขาจะอยู่ตัวลำพังมาตลอดห้าปี แต่การหย่าร้างไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น หากสุวิทย์ไม่ยอม ก็คงต้องฟ้องร้องกันตามกระบวนการทางกฏหมาย “เมื่อห้าปีก่อน ใครเป็นคนขอผมแต่งงาน ตอนนี้จะมาหย่า--” มองไปใบหน้าเรียบเฉยเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง สุวิทย์จึงนิ่งสงบลง ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่สาวน้อยเมื่อห้าปีก่อนอีกต่อไปแล้ว เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีความเป็นเด็กและความหุนหันพลันแล่นอีกต่อไปแล้ว ระยะเวลาห้าปี ขัดเงาทำให้เธอยิ่งทรงเสน่ห์น่าหลงใหลมากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่มีทางยอมรามือแน่ๆ เพ็ญจิตสั่นเทาเล็กน้อย กล่าวถ้อยคำที่ขัดต่อใจ “ไม่ต้องมาเตือนฉัน เป็นเพราะความหุนหันในตอนนั้น ถึงได้มีวันนี้ ห้าปีที่แล้วเป็นความผิดของฉัน ถ้าคุณต้องการค่าชดเชยอะไร ฉันจะพยายามหาให้คุณอย่างเต็มที่” ดวงตาอมยิ้มทั้งสองข้างของสุวิทย์ตับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ และเอ่ยพูดถ้อยคำหวานหยดย้อยเป็นพิเศษ “เพ็ญจิต เอาจริงๆ จะชดใช้อะไรคุณก็ทำได้ทั้งนั้นน่ะแหละ ?” เมื่อเห็นใบหน้า “คิดพิเคราะห์”นั้น ในใจของเพ็ญจิตก็เป็นกังวล พูดรำพึงรำพันในใจ : เขาคงไม่ต่ำช้าไร้ยางอายขนาดนั้นหรอกมั้ง “ตราบใดที่สมเหตุสมผล อยู่ในขอบเขตที่ฉันยอมรับได้” เพ็ญจิตกัดฟัน พูดเสริม “สมเหตุสมผลแน่นอน ก่อนที่จะหย่าขาด พวกเรายังเป็นสามีภรรยากัน ดังนั้น ผมในฐานะที่เป็นสามี ขอร้องให้คุณทำภาระหน้าที่ของภรรยาคงไม่มากเกินไปหรอกเนอะ ” สุวิทย์วางมือลงบนหลังโซฟา แล้วยิ้มหวานชื่นพลางมองไปที่เพ็ญจิต “คุณ – ฉันไม่มีทางยอมอ่อนข้อแน่” เพ็ญจิตกระหืดกรหอบ จ้องไปยังสุวิทย์ กัดฟัน หมุนตัวเดินเข้าห้อง ตัดสินใจที่จะไม่สนใจใยดีแล้ว เมื่อเห็นประตูปิดลงสนิท สุวิทย์กลับไม่ได้ตามไป และก็ไม่ได้จากไป ซ้ำยังกดปิดโทรทัศน์อย่างสบายใจเฉิบ เขาอยากจะคิดตริตรองอีกสักหน่อย เขาเคยคิดว่าเพ็ญจิตเป็นเหมือนกับเขาที่ใช้ชีวิตเพียวลำพังตลอดห้าปี ทว่าตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดง่ายเกินไปเสียแล้ว ยามนี้ จู่ๆคำพูดของปสันน์ในวันนั้นดังขึ้นมาข้างหู ดูเหมือนว่าวันนั้นจะเคยได้ยินเขาพูดเรื่องนี้มาก่อน สุวิทย์ส่งข้อความหาเข้าโทรศัพท์ของเพ็ญจิต บอกให้เธอออกมาทานข้าวทานปลา ส่วนเขาจะไปทำความเข้าใจสถานการณ์กับปสันน์เสียหน่อย รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง อย่างน้อยก็ต้องทำความเข้าใจคู่ต่อสู้สักหน่อย ในร้านอาหารตะวันตก สุวิทย์นั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย ไอ้ปสันน์คนนี้นี่ ไม่เคารพเวลาเอาเสียเลย นี่เลยเวลามาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่มีสักที ในขณะที่สุวิทย์กำลังจะเปิดโทรศัพท์ เสียงของปสันน์ก็ดังลอยมาจากทางด้านหลัง ปสันน์จ้องสุวิทย์ตาไม่กระพริบ ป่านไปครู่นึงถึงได้ปริปากพูด “เคยเจอมาสองครั้ง แต่ฉันยังไม่รู้ชื่ภาษาจีนของเธอเลย ในโลกแฟชั่น ชื่อของเธอคือกีวี่ แกคงไม่ได้ชอบเธอจริงๆหรอกนะ ?” สุวิทย์กระแอมเสียงเบาๆแล้วจึงเอ่ยขึ้น : “สาวงามแสนดี ย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ” “จะพูดเช่นนั้นก็ได้ แต่เธอเป็นดอกไม้ที่ถูกจับจองแล้ว แกคงไม่เอาจริงใช่ไหม ?” ปสันน์ไม่อาจจะเชื่อ แต่เมื่อคิดดูอีกมุมหนึ่งแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ มีสาวๆมากมายมาติดพันธ์ ท่านหัวหน้าไม่เคยแลเหลียว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาชอบผู้หญิงแบบนี้เข้าได้ “นายแน่ใจไหม ?” สุวิทย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมา ปสันน์ทำท่าใช้ความคิด แล้วจึงค่อยๆกล่าวขึ้น “น่าจะใช่ นายเปิดดูนิตยสารแฟชั่นสองปีนี่หน่อย เหมือนจะเคยพูดถึง ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวหน้านักออกแบบของเวอร์ซาเช่” สุวิทย์ไม่อยากได้ยินชื่อนั้น แต่ถ้าความจริงเป็นเช่นนี้ ทำไมเพ็ญจิตถึงไม่ยอมแก้ตัวล่ะ ? “สุวิทย์ ก็อย่างที่นายพูด สาวงามแสนดี ย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ หากข้างกายเธอไม่มู้ชายวนเวียนอยู่คงเป็นเรื่องแปลก? แต่ว่า จะว่าไปมันก็แปลกๆอยู่ ทำไมเธอถึงสละผู้ชายที่ดีขนาดนั้นทิ้งได้ แล้วกลับมา...” ปสันน์พูดไปพูดมา ก็กลับกลายเป็นพูดเองเออเองไปหมด ถูกเผง ก็เหมือนที่ปสันน์พูดทั้งหมด ผู้หญิงสวยๆก็คงมีคนมารุมจีบไม่หยุด ยิ่งไกว่านั้น ห้าปีมาแล้วผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ต่างประเทศ ยอมต้องการคนรักมาปกป้องดูแลตนเอง แต่เขาไม่สามารถยอมรับได้ ในยามนี้ ขณะที่สุวิทย์รู้สึกสับสนไปหมด จู่ๆปสันน์กระโดดเด้งขึ้นมา “หรือว่าพวกเขาจะเลิกกันแล้ว ?” เมื่อเห็นสุวิทย์มิได้พูดอะไร ปสันน์ก็พูดติดตลกว่า “หัวหน้า หากเป็นเช่นนี้ โอกาสของคุณก็มาถึงแล้ว” ภายในจที่ไม่สบายก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายมากขึ้นไปอีก แต่สุวิทย์ก็ไม่ได้คิดว่าจะยอมปล่อยเพ็ญจิตไป เขานอนไม่หลับทั้งคืน เขาก็ตัดสินใจเลิกคิดว่าเพ็ญจิตทำอะไรตลอดห้าปีนี้ไปชั่วครู่ชั่วยามหนึ่ง ตอนนี้ เขาเพียงอยากให้เพ็ญจิตอยู่ข้างกายเขาเท่านั้นเอง เช้าวันที่สอง สุวิทย์เห็บของใช้ประจำวันและเส้อผ้าอาภรณ์ ตรงไปรับเพ็ญจิตที่บ้าน แต่ตอนที่เขาหยิบกุญแจจะเปิดประตู กลับพบว่ากลอนประตูได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว จ้องมองกลอนประตูที่เปลี่ยนใหม่ สุวิทย์จะหัวเราะจะร้องไห้ก็ไม่เชิง จิตใจของผู้หญิงคนนี้นี่โหดร้ายจริงๆ ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งวันก็เปลี่ยนกลอนซะแล้ว หรือว่าเธอขะเกลียดเขาขนาดนั้นเชียวหรือ ? เมื่อคิดถึงสภาพของตัวเองเมื่อห้าปีก่อน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราพะรุงพะรังนั้น ถึงขนาดว่ามองไม่เห็นอวัยวะทั้งห้า หู ตา จมูก ปาก คิ้วเลย แต่ว่าในเวลานนั้น เพ็ญจิตกลับสามารถรับสภาพเขาได้ ย้อนกลับมาตอนนี้ เขามีความมั่นใจมาก ว่าแค่เขาทอดสายตาแวบเดียว ผู้หญิงก็แทบจะวิ่งเข้ามาในอ้อมอกเขา แต่เพ็ญจิตกลับหลีกหนีเขาราวกับงูพิษ เป็นครั้งแรกที่สุวิทย์ตั้งคำถามเกี่ยวกับความหล่อเหลาของเขา ยืนมืออกไปเคาะประตู แต่กลับไม่มีปฏิกริยาใดๆ เช้าตรู่ขนาดนี้ หอบกระเป๋าเดินทางยืนรออยู่หน้าประตูคงจะดูไม่ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้น สุวิทย์จึงหยิบโทรศัพท์ออกมา ในห้องนอน เพ็ญจิตถึงเพิ่งจะได้เข้านอนตอนเช้ามืดกลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ ยื่นมืออกไปคว้าโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ดูว่าใครโทรมา ก็กดรับสายทันที “เบบี๋ พวกหนู....“ “เพ็ญจิต คุณถึงกับเปลี่ยนกลอนประตูเลยหรอ” เมื่อได้ยินเสียงของสุวิทย์ อาการง่วงหงาวหาวนอนก็เพ็ญจิตก็โผลบินออก เด้งตัวขึ้นนั่งทันที เธอคิดว่าเป็นสายจากลูกชายเสียอีก อีกนิดเดียวก็เกือบจะเผลอปากรั่วไหลไปแล้ว โชคดีที่สุวิทย์พูดขึ้นมาเร็ว ไม่เช่นนั้น เธอคงเผชิญกับอันตรายในการที่จะเสียลูกๆไป เพ็ญจิตตกใจจนเหงื่อแตกซิก สุวิทย์พูดอยู่นาน เธอกลับเอาที่อึ้งตลึงงันมิทันได้ฟังอะไร เมื่อเห็นเพ็ญจิตไม่ได้ตอบ สุวิทย์ก็แผดเสียงดังออกคำสั่ง : “ห้ามวางสายผม” เขาไม่พูดก็ดีอยู่หรอก แต่พอพูดขึ้นมาเธอก็อยากจะวางทันที เมื่อสักครู่ที่เธอตกใจ ยังไม่ทันจะฟื้นคืนสติได้ดี ก็รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย มองดูเวลา หากในปกติเวลานี้เธอคงออกไปทำงานแล้ว แต่ตอนนี้เธอยาดเจ็บอยู่ เมื่อวานก็เลยลางานไปกับสุวิทย์แล้ว “บางทีเขาจะบังคับให้ฉันไปทำงาน ?” เพ็ญจิตจ้องมองโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย ค่อยๆระลึกคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็คิดไม่ออก “ช่างเถอะ ฉันนอนต่อดีหว่า ยังไงๆเมื่อวานก็จัดการเรื่องจดหมายลาออกเรียบร้อยดีแล้ว รอจนถึงช่วงบ่ายๆค่อยนำไปส่งที่บริษัทก็ได้แล้ว” เพ็ญจิตนวบขมับ และนอนต่อ เมื่อคืนเธอคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจะกลับไปอิตาลี เดิมทีเธอกลับมาด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาไม่ใช่ของกันและกันอย่างเมื่อห้าปีก่อนอีกต่อไปแล้ว หลับตาลง คิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเผชิญเมื่อห้าปีก่แน ใบหน้าของเพ็ญจิตก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างเหนียมอาย แต่ในเวลานี้ สุวิทย์เคาะประตูก็ไม่มีปฏิกริยาตอบ โทรศัพท์ไปก็โดนตัดสายทิ้ง ดูเหมือนพยายามในทุกวิถีทางถึงกับไปเคาะประตู้ดูแลลที่ชั้นบน เกิดมาหล่อนี่มันดีจริงๆ เขาแค่บอกว่าเขาลืมกุญแจไว้ในบ้าน คุณผู้หญิงที่อยู่ชั้นบนก็ไปเอายืมกุญแจมาแล้ว เขายืนเล็งที่ข้างนอกอยู่พักหนึ่ง อาศัยโครงค้ำยันของแอร์แล้วบังอาจปืนขึ้นไปยังระเบียงบ้านของเพ็ญจิต “เพ็ญจิต เปิดประตู --” เมื่อกี้เคาะประตูไม่มีใครเปิด คราวนี้เคาะหน้าต่างก็คงจะเปิดแหละ เมื่อได้ยินเสียงหน้าต่างกระจกแตก เพ็ญจิตก็ยีนตัวขึ้นมาดู เมื่อเห็นมีคนอยู่ด้านนอก ก็สปริงตัวหดเข้าไปในผ้าห่มทันที เมื่อเห็นท่าทางของเพ็ญจิต สุวิทย์กช็อคพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว เขาเป็นผีปีศาจหรือไง? กลางวันแสกๆแบบนี้ เธอยังกลัวหัวหดได้ขนาดนั้น หรือว่าจะทำอะไรผิดมา สุวิทย์รู้ดีอยู่แก่ใจหากรอให้เพ็ญจิตมาเปิดประตูให้คงเป็นไปไม่ได้ ดูเชิงแล้วเขาคงต้องจัดการด้วยตัวเอง 
已经是最新一章了
加载中