ตอนที่ 36
ตนที่ 36
เซี่ยหลิงหลิงค้นหามือถือทุกซอกทุกมุมแต่ก็ไม่เจอ แต่ตอนนั้นก็ไม่มีวี่แววของเฉิ่งรุ่ยเลย
จะว่าไป ช่วงนี้ตอนกลางดึกเธอมันจะได้ยินเสียงกรอบๆแกลบๆ น่าจะเป็นเสียงหนูในบ้าน พอคิดได้ดังนี้ เซี่ยหลิงหลิงก็รีบเปิดแฟลชของมือถือ เพื่อเลี่ยงไม้ให้เดินเตะของในห้องที่เห็นเป็นเงาดำๆ
ในขณะที่เธอเหงื่อออกจนเต็มหน้า ปลายนิ้วของเฉิงรุ่ยก็สัมผัสกับคีย์บอร์ดและพิมพ์บางอย่างไปสองสายอย่างรวดเร็ว
[ผมคือเฉิงรุ่ย ตอนนี้หลิงหลิงไม่สะดวกรับสาย ผมจะส่งที่อยู่ให้คุณเอง]
ผ่านไปได้ประมาณหนึ่งนาที ฝ่ายตรงข้ามก็ตอบกลับมา บอกว่าจะรอให้ส่งที่อยู่มาให้
เซี่ยหลิงหลิงนั่งก้มตัวก้นโด่งอยู่ที่พื้น ก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนมือถือ เธอเคยวางมือถืออันเก่าไว้ในบ้าน หากหาไม่เจอจริงๆ ก็ใช้เครื่องเก่าแทนได้
เซี่ยหลิงหลิงหยิบมือถือเครื่องเก่ามาเปิดแฟลชแล้วส่องไปมาที่ใต้โซฟา เธอหาดูเผื่อว่ามือถืออาจจะตกไปในร่องของโซฟา เฉิงรุ่ยที่พิงประตูอยู่ก็คิดไว้แล้วว่าจะตอบกลับไปอย่างไรหากถูกเซี่ยหลิงหลิงสอบสวน แต่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ อยู่ดีๆเซี่ยหลิงๆก็นิ่งเฉยราวกับก้อนหิน
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แล้วหันหน้ามาหาเขาอย่างดุร้าย
เฉิงรุ่ย “....”
เซี่ยหลิงหลิงหยิบถุงขนมที่อยู่ใต้โซฟาออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ มีทั้งถุงขนมใส่มันฝรั่งทอดกรอบยี่ห้อBugles ทั้งไอศกรีมวอลล์ ขนมพวกนี้ล้วนแต่เป็นขนมที่ห้ามไม่ให้เฉิงรุ่ยกินทั้งนั้น
ทั้งสองมองตากันอยู่พักหนึ่ง
“.....” อยู่ดีๆเฉิงรุ่ยก็รู้สึกเหมือนใกล้จะถึงฆาต
“.....” เซี่ยหลิงหลิงมองเขาด้วยสายตาที่โกรธจัด
“ไม่น่าล่ะ กลับมาทีไรนายถึงอยู่ที่โซฟาทุกที แล้วยังเรื่องจำศีลอดอาหารอีก นายทำแบบนั้นจริงๆเหรอ” เซี่ยหลิงหลิงนึกไปถึงทุกครั้งที่เขาจะแสร้งนั่งทำหน้าซังกะตายอยู่บนโซฟาทุกครั้ง เขาไม่ได้หิว แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นวัวสันหลังหวะที่กลัวว่าจะถูกจับได้อยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่นึกเลยว่าจะเอาถุงขนมมาทิ้งไว้ใต้โซฟาโดยไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
เฉิงรุ่ย “ที่จริงแล้ว หนูต่างหากที่ทำ”
เซี่ยหลิงหลิง “นี่นายยังจะพูดจามั่วซั่วอยู่อีกเหรอ?”
เธอจ้องเฉิงรุ่ย “ทำไมต้องแอบไว้ตรงนี้?”
เฉิงรุ่ยตอบด้วยความเชื่องช้า “ลืม”
สายตาของเขาล่องลอย มีเพียงแค่คำพูดที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ความจริง เซี่ยหลิงหลิงเงียบไปสักพักก็พูดออกมาว่า “นายคงไม่ได้รอให้ฉันหลับก่อนแล้วค่อยออกมากินต่อตอนกลางคืนใช่มั้ย”
ที่แท้เสียงกรอบแกรบที่เธอได้ยินในทุกๆคืน….
เสียงที่เหมือนหนูกำลังแทะไม้...
ใช่แน่ๆ อีเฉิงรุ่ยต้องฉวยโอกาสในตอนที่เธอหลับโดยที่ใส่ที่อุดหูกับผ้าปิดตา ลุกออกไปกินขนมถุงที่เหลืออยู่ให้หมดแน่ๆ
อารมณ์ของเซี่ยหลิงหลิงปั่นป่วนมาก เธอไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
เฉิงรุ่ยมองมือถือแวบหนึ่ง แล้วพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ฉันจะลงไปทิ้งขยะ”
“อืม อย่าลืมใส่เสื้อโค้ตด้วยล่ะ”
แม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมเฉิงรุ่ยอยู่ดีๆถึงได้ต้องการไปทิ้งขยะ แต่เซี่ยหลิงหลิงก็อยากให้เฉิงรุ่ยได้ออกไปนอกบ้านบ้าง เพราะไม่งั้นเขาก็แทบจะรากงอกอยู่ในบ้านอยู่แล้ว
เฉิงรุ่ยสวมเสื้อโค้ตขนสัตว์ แล้วออกไปข้างนอก
เซี่ยหลิงหลิงยังคงตามหามือถือต่อไป หามาเนิ่นนานเธอถึงนึกขึ้นมาได้...
เฉิงรุ่ยเดินออกไปจากบ้านมือเปล่าเหรอ?
ทิ้งขยะอะไรกัน เขาจะเอาตัวเองไปทิ้งไรไง?
……
อากาศทั้งหนาวทั้งแห้ง หนาวเสียจนกระดูกมีเสียงดังกรอบแกรบ เฉิงรุ่ยเดินลงมาอย่างเชื่องช้า มีรถออดี้จอดอยู่หน้าตึกของเขา ตรงนั้นมีกู้โหยวที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานานยืนกอดอกพิงรถอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ตัวว่าเฉิงรุ่ยกำลังเดินเข้ามาหา
รองเท้าผ้าใบเหยียบลงบนพื้น ทำให้เกิดเสียงครึ่กๆ กู้โหยวเงยหน้าขึ้นมา เขางงไปสักพัก แล้วจึงยิ้มให้เฉิงรุ่ย
“คุณนี่เอง”
เฉิงรุ่ยตอบว่าอืมในลำคอทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเฉิงรุ่ยขี้เกียจที่จะร่วมเสวนากับเขา
เฉิงรุ่ยยื่นมือออกมา แล้วแบมือออก กู้โหยวก็เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อในทันที
กู้โหยวหยิบมือถือเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอเฉิงรุ่ยรับมา ก็ลบข้อความที่เขากับกู้โหยวส่งหากันต่อหน้าต่อตากู้โหยว
กู้โหยวเห็นการกระทำของเขา แต่เขาก็ไม่หยุดลบจนกว่าจะเกลี้ยง จากนั้นก็เอามือถือยัดใส่ลงในกระเป๋าเสื้อโค้ต
เขามองเฉิงรุ่ยและพูดว่า “ผมเห็นใบหย่าแล้ว…”
เฉิงรุ่ยตอบกลับอย่างเชื่องช้า “ฉีกทิ้งแล้ว”
กู้โหยวเลียริมฝีปากล่าง และพูดว่า “วางใจเถอะ ผมคงไม่ทำเรื่องบ้าบออย่างที่คุณคิดได้ลงคอหรอกครับ”
เฉิงรุ่ยมองไปที่เขาแวบหนึ่ง โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ผมขอพูดในฐานะผู้ชายนะ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานก็ต้องหย่ากันแน่ๆ” คำพูดของกู้โหยวหยุดไปสักสองสามวินาที เปลือกตาของเขากระพริบอย่างรวดเร็วราว เขาหัวเราะและพูดว่า “ในฐานะผู้ชาย ผมอยากจะพูดว่า ผมน่ะ..อิจฉาคุณมากนะ”
ในตอนที่เซี่ยหลิงหลิงพูดถึงเฉิงรุ่ยตอนอยู่บนรถ เห็นได้ชัดว่าหล่อนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย
ไม่ว่าจะใช่ความรักหรือไม่ แต่ระหว่างพวกเขาจะต้องเป็นความผูกพัน แม้ว่าจะเปราะบาง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกทำให้สั่นคลอนได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
เฉิงรุ่ยไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาแสดงท่าทีออกมาอย่างไม่แยแส กู้โหยวไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นเฉิงรุ่ยก็ตอบว่า “อืม” อย่างขอไปที ทั้งสองมือของเขาล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันหลังเดินจากไป
กู้โหยวพูดว่า “ผมพร้อมที่จะรอนะครับ”
เท้าของเฉิงรุ่ยเหยียบบันไดทางขึ้น เขาไม่ได้หันกลับมามองกู้โหยวเลยแม้แต่น้อย จากมุมของกู้โหยว เห็นเพียงแค่ว่าเฉิงรุ่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดยที่ไม่ได้ขยับไปไหน
เฉิงรุ่ยตอบเสียงดังอย่างเชื่องช้า “คุณก็อายุเท่านี้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีฐานะที่มั่นคง ไม่ได้คิดถึงอนาคตไว้เหรอ อย่าเสียเวลาไปกับการไล่ตามความรักแบบนี้อยู่เลย”
กู้โหยว “....”
คำพูดของเฉิงรุ่ยแทงใจดำเหมือนกับยาพิษ
แม้ว่าเฉิงรุ่ยจะแก่กว่าเขาสองสามปี แต่กลับมีตำแหน่งเป็นถึงบอสตั้งแต่ยังหนุ่ม เป็นเสือซ่อนเล็บจริงๆ ไม่เหมือนกับเขา ที่อนาคตไม่แน่ไม่นอน สิ่งที่เฉิงรุ่ยพูดมา ถูกทั้งหมด
เมื่อเอาเขาสองคนมาเทียบกันแล้ว ก็ควรจะต้องเลือกเฉิงรุ่ย คนปกติก็ต้องเลือกเฉิงรุ่ยอยู่แล้ว
กู้โหยวพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ผมรู้แล้ว ผมจะพยายาม”
เฉิงรุ่ยพูดว่า “อืม” แล้วเดินกลับไปอย่างเชื่องช้า
พอถึงบ้าน เซี่ยหลิงหลิงก็มองเฉิงรุ่ยที่ดูอารมณ์ดีจนผิดปกติ เธอจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “นายคงไม่ได้ไปกินอะไรมาใช่มั้ย”
สายตาของเฉิงรุ่ยเต็มไปด้วยความเมินเฉย “ฉันไม่ใช่เธอนะ”
เซี่ยหลิงหลิง “.....”
เธอไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรต่อดี
เฉิงรุ่ยเปลี่ยนรองเท้า แล้วหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตขนสัตว์ จากนั้นก็ส่งให้กับเซี่ยหลิงหลิง “ของเธอใช่มั้ย”
เซี่ยหลิงหลิงตกใจไปพักหนึ่ง แล้วรีบหยิบมือถือมาดูและถามเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นายเจอมันที่ไหนเหรอ”
เฉิงรุ่ยโกหกหน้าตาย “หน้าคอนโด”
เซี่ยหลิงหลิงลืมไปแล้วว่าจะถามเฉิงรุ่ยว่าเขาอ้างที่จะไปทิ้งขยะเพื่อไปทำอะไร
เธอถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “โชคดีที่ไม่หาย ฉันโน้ตไอเดียวไว้เก็บไว้ในโน้ตเต็มเลย ยังไม่ได้เซฟลงไฟล์คลาวด์เลยด้วยซ้ำ” พูดจบเซี่ยหลิงหลิงก็รีบนำข้อมูลสำคัญๆลากลงไฟล์คลาวด์เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสูญหาย
ในขณะที่เซี่ยหลิงหลิงกำลังวุ่นอยู่กับการเซฟงาน เฉิงรุ่ยก็กลับไปที่ห้องหนังสือ ปิดประตู แล้วนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์อย่างเอาจริงเอาจัง
เขาเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วมองหน้าจอคอมอยู่เป็นเวลานานจึงจะพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป...
เขาคลิกที่แถบค้นหา แล้วพิมพ์ว่า….
‘ทำอย่างไรจึงจะจีบสาวได้เห็นผลเร็วที่สุด’
……
ในตอนเช้า เซี่ยหลิงหลิงไปทำงานตามปกติ เธอนั่งรถเปิดประทุนของเฉิงรุ่ย และลงจากรถในที่ที่อยู่ห่างจากบริษัทประมาณสองสามร้อยเมตร เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกคนในแผนกเห็นเข้า
ในตอนพักกลางวัน มีพนักงานจำนวนมากรู้ว่าเซี่ยหลิงหลิงดูภายนอกเป็นคนที่มีฐานะทางการเงิน แต่จริงๆแล้วแม้แต่รถสักคันเธอยังไม่มีเงินซื้อ เธอได้แต่ต้องนั่งแท็กซี่มาทำงานทุกวัน ต้องทุกข์ทนลำบากเป็นอย่างมาก
ในตอนที่เซี่ยหลิงหลิงเลิกงาน ก็มีข้อความเด้งเข้ามาในกลุ่ม ล้วนแต่เป็นข้อความที่เพื่อนร่วมงานส่งมาเพื่อชวนเธอติดรถกลับบ้าน
เซี่ยหลิงหลิง “???”
เธอจึงรีบร้อนตอบกลับไปในกลุ่ม “ขอบคุณในความหวังดีของทุกคนนะคะ ฉันเรียกรถกลับได้ค่ะ”
เสี่ยวฟางเป็นหนึ่งในคนที่ดูถูกเซี่ยหลิงหลิงในวันที่มีปาร์ตี้ เธอพูดอย่างแสร้งว่าเป็นคนดีว่า “ตายแล้ว ดึกดื่นป่านนี้ไม่ปลอดภัยนะ เธอยิ่งสวยๆอยู่แบบนี้”
เซี่ยหลิงหลิง “อ่า...มีคนขับรถส่วนตัวมารับจ้ะ”
ทุกคนต่างคิดว่าเธอกำลังอวดเบ่งว่าตัวเองมีฐานะสูงส่ง
รถส่วนตัวในบริษัทมีน้อยมาก ที่จอดรถใต้ตึกก็มีรถหรูจอดอยู่แค่ไม่กี่คันอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามีคนมีรถส่วนตัวจริงๆ คนในบริษัทก็ต้องรู้นานแล้ว
การปฏิเสธของเซี่ยหลิงหลิงเหมือนกับว่าเป็นการพยายามที่จะรักษาหน้าตัวเอง แถมยังทำให้พวกผู้ชายรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่น่าดูแล
ผู้หญิงที่สวยแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าจะนั่งรถแท็กซี่มาทำงาน แบบนี้ก็เสียของหมดสิ
ตอนที่เลิกงานในตอนเย็น เซี่ยหลิงหลิงก็ติดต่อเฉิงรุ่ยเพื่อจะกลับบ้าน อยู่ดีๆก็มีพวกผู้หญิงสองสามคนมาคุยด้วย บอกว่าผ่านทางพอดี จะไปที่จอดรถด้วยกันกับเซี่ยหลิงหลิง
เซี่ยหลิงหลิงไม่อยากจะไปกับพวกหล่อนเลยจริงๆ
เฉิงรุ่ยเป็นชายผู้เต็มไปด้วยความลับ มีบัตรผ่านวีไอพีที่จะเข้าออกบริษัทตอนไหนก็ได้ แม้ว่าจะเป็นตอนที่พวกพนักงานออฟฟิศกำลังทำงาน คนที่รู้สถานะของเฉิงรุ่ยล้วนแต่เป็นพวกผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
เหตุผลที่เขาไม่ต้องการเปิดเผยสถานะตัวเองนั้นง่ายมาก นั่นคือเพราะว่าเขารำคาญ เขาแค่ชอบทำงาน แต่ไม่ชอบพบปะและสุงสิงกับใคร
ในตอนที่พวกพนักงานปรากฏตัว เฉิงรุ่ยก็ต้องหายไป
พวกผู้หญิงสองสามคนนั้นยังยืนรอเธออยู่อย่างไม่ยอมเดินไปไหน เซี่ยหลิงหลิงรู้สึกไม่ดีเอามากๆ เธอจึงจำใจเดินไปที่จอดรถกับพวกหล่อน
เซี่ยหลิงหลิงก้มหน้าส่งข้อความไปหาเฉิงรุ่ยอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่ไปหานายก่อนนะ เดี๋ยวค่อยนัดอีกทีนะ”
“อุ้ย เธอส่งข้อความหาใครอยู่เหรอ” เสี่ยวฝางเดินเข้ามาโดยที่มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เซี่ยหลิงหลิงก็รีบกดปุ่มล้อกหน้าจอมือถือทันที
เซี่ยหลิงหลิงตอบเสียงเรียบ “เปล่า”
“จริงสิ สามีเธอทำงานอะไรเหรอ”
พอพูดถึงสามีของเซี่ยหลิงหลิง พวกผู้หญิงสองสามคนก็เดินเข้ามาล้อมวงด้วยความสนใจ เฉิงรุ่ยในวันนั้นทำให้พวกเธอตกตะลึงซะจนไม่ได้บันทึกภาพเอาไว้เลย พวกเธอรู้แค่ว่าเขาเป็นสามีของเซี่ยหลิงหลิง นอกนั้นพวกเธอก็ไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย
เซี่ยหลิงหลิงขมวดคิ้ว “ไม่มีอะไร เขาก็แค่พนักงานตำแหน่งธรรมดาๆคนนึง”
ถึงเธอพูดอย่างนี้ แต่พวกหล่อนก็ไม่เชื่อ ในใจยังปักใจเชื่อว่าเซี่ยหลิงหลิงกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง ไม่ยินยอมที่จะเล่าให้พวกเธอฟัง
เสี่ยวฝางเล่นหูเล่นตา “เขามารึยังเหรอ?”
อยู่ดีๆเซี่ยหลิงหลิงก็หยุดเดิน
พวกห่อนดูตื่นเต้นดีใจมาก ที่อยู่ดีๆเซี่ยหลิงหลิงก็หยุดเดิน พวกเธอรู้สึกแปลกๆ คิดว่าเซี่ยหลิงหลิงจะโกรธ แต่เพื่อหน้าที่การงานที่มั่นคง เซี่ยหลิงหลิงก็ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่พวกเขา เพื่อเลี่ยงที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกถูหนาน
เธอพูดออกมาอย่างอัดอั้น “ฉันรอคนคนนึงอยู่ พวกเธอไปก่อนเถอะ”
ข้างกายของเซี่ยหลิงหลิงมีรถราคาสิบล้านจอดอยู่ พวกเขารู้อยู่ในใจ รถคันนี้บอสถูหนานก็เคยนั่งมาก่อน
พวกหล่อนเข้าใจผิดว่าเซี่ยหลิงหลิงอยากจะใช้รถของบอสไปทำอะไร ค่อยๆมองหน้ากันแล้วหัวเราะ รู้ความหมายกันเอง โดยไม่ได้พูดออกมา แท้จริงแล้วหน้าตาดีก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เห็นท่าทางสามีของเธอในวันนั้น ไม่แน่ว่าชีวิตและความรู้สึกของทั้งสองคนอาจจะไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน
พวกเธอพึงพอใจกับการคาดเดาของตัวเอง จากนั้นก็แยกย้ายขับรถของตัวเองแล้วจากไป
พวกเธอขับรถ แล้วยังตั้งใจขับมาเวียนหน้าเซี่ยหลิงหลิงหนึ่งรอบ อวดรถบีเอ็มและออดี้ของตัวเอง รู้สึกสะใจที่เห็นเซี่ยหลิงหลิงรู้สึกลำบากและทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็ขับจากไป
เซี่ยหลิงหลิงอยู่เดิม แล้วถอนหายใจออกมา
ดูสิ คนอื่นมีใบขับขี่กันหมด แต่เธอกลับไม่มี
เธอรู้สึกดรอปไปเล็กน้อย