บทที่ 51
บ๗ที่ 51
เซี่ยหลิงหลิงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังโกรธเฉิงรุ่ยอยู่ แต่ว่าตอนนี้พวกเขายังแนบชิดกันอยู่ เซี่ยหลิงหลิงทำหน้าเย็นชาไม่ลงคอ
เธอกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะแย่งมือถือกลับมา ถามเขาไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย : “กลางคืนอยากกินอะไร?”
เฉิงรุ่ยสายตาแพรวพราว : “ปลาเปรี้ยวหวาน......”
“อ๋อ บะหมี่ใช่มั้ย ได้สิ”
เฉิงรุ่ย : “......”
เซี่ยหลิงหลิงใส่ไข่ลงในชามตัวเองหนึ่งผองครึ่ง ให้เฉิงรุ่ยครึ่งฟอง ครึ่งฟองที่ให้เขานั้นก็เพื่อตอบแทนที่เขาช่วยเล่นเกมส์จนชนะ
ผู้หญิงอารมณ์ขึ้นๆลงๆ บอสเฉิงนั่งมองไข่ครึ่งเดียวตรงหน้าด้วยสีหน้าแย่อย่างบอกไม่ถูก
แต่เขารู้ดี หากเอ่ยปากพูดอะไรผิดหูขึ้นมา แม้แต่ไข่ครึ่งฟองก็คงจะไม่เหลือไว้ให้กิน ซุปก็ไม่ได้ดื่ม เขาจึงตัดสินใจรีบกินไข่ครึ่งฟองนั้นจนหมด เพราะกลัวว่ามันจะปลิวหายไปต่อหน้าต่อตา
เซี่ยหลิงหลิงกล่าว : “นายจัดการเอาเองแล้วกัน”
“งั้นก็เก็บไปเป็นกับข้าวของวันพรุ่งนี้แล้วกัน อุ่นหน่อยก็น่าจะกินได้แล้ว”
วันรุ่งขึ้น บอสเฉิงตั้งหน้าตั้งตารออาหารมื้อเที่ยง เปิดกล่องข้าวขึ้นมาดู ปรากฏว่ามีสเต็กเนื้อเพียงแค่ครึ่งชิ้น
เฉิงรุ่ย : “......”
ถูหนานที่เดินผ่านมาหันมาเห็น เอ่ยถามด้วยความสงสัย : “บอส กินแค่นั้นจะอื่มเหรอครับ?”
เฉิงรุ่ยหันไปจ้องถูหนานตาเขม็ง ถูหนานถึงกับขนลุกซู่ เหลื่อท่วมหน้า : “ให้ไปซื้อข้าวมาให้มั้ยครับ?”
“ไม่ต้องแล้ว”
มันแสดงให้เห็นว่า อย่าท้าทายกับคนชอบกิน และอย่าไปทำให้แม่ครัวโมโห .....................
ช่วงกลางวันเซี่ยหลิงหลิงกินสเต็กไปแค่ครึ่งเดียวและมีกับแกล้มอีกนิดหน่อย ท้องอืดแทบตาย ทันในนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ไม่รู้ว่าเฉิงรุ่ยจะกินอิ่มหรือเปล่า เพราะปกติเขากินเยอะกว่าเธอซะอีก
เหล่าเมิ่งที่นั่งข้างๆก็แซวขึ้นมา : “อาหารกลางวันของเธอมันดูหรูหราเกินไปแล้วนะ คนรวยอ่ะเนาะ”
“ของฟรีน่ะ ไม่กินก็เสียดาย”
เสียงของเธอดูหงุดหงิด คิดไปคิดมา ตัดสินใจจะเพิ่มปริมาณอาหารให้เฉิงรุ่ยในคืนนี้ เธอไม่อยากฝันถึงเสียงหนูกำลังแทะกินอาหารเสียงดังกรุบกรับกรุบกรับอีกแล้ว
วันนี้งานค่อนข้างยุ่ง เซี่ยหลิงหลิงทำโอทีจนดึก จนเมื่องานเสร็จ ก็รู้สึกเหนื่อยจนหลังคดหลังแข็ง สักพักถึงจะเริ่มยืนตัวตรงขึ้นมา เธอยืนยืดเส้นยืดสายอยู่กับที่ แล้วก็มีเสียงข้อความดังขึ้น มันคือข้อความจากเฉิงรุ่ย
เฉิงรุ่ย : เสร็จงานหรือยัง?
เซี่ยหลิงหลิง : อืม
เวลานี้พนักงานคนอื่นๆเลิกงานกลับบ้านกันไปจนหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่ฝ่ายบำรุงรักด้านเทคนิคและฝ่ายบริการลูกค้าเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ เซี่ยหลิงหลิงเตรียมเดินลงไปที่ชั้นจอดรถ เดินออกมาจากออฟฟิศ ก็เจอกับร่างของคนๆนึงที่ดูคุ้นตา
เธอถึงกับตกใจ : “เธอเข้ามาได้ยังไง?”
ปรากฏว่าเป็นไป๋เซวียนเซวียน!
ไม่เจอกันตั้งนาน ไป๋เซวียนเซวียนไม่ดูมีสง่าราศีเหมือนปกติผ่านมา ผิวพรรณหม่นหมอง ดวงตาแห้งเหี่ยว รูปร่างผอมแห้งไปเกือบครึ่ง แต่ดวงตาของเธอยังคงความน่าน่าหลงใหลอยู่เหมือนเดิม มันค่อนข้างทำให้คนที่พบเห็นนั่นรู้สึกตกใจ
“ถ้าเธอมาหากู้โหยวล่ะก็ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ฉันไม่ได้มาหาเขา ฉันมาหาเธอ เซี่ยหลิงหลิง”
ไป๋เซวียนเซวียนพูดออกมาทีละคำๆ พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ การที่เธอกัดฟันมันก็เหมือนกับกัดเซี่ยหลิงหลิงเอาไว้ ทำให้เธอตัวเย็นวาบจนขนลุก
เซี่ยหลิงหลิงก้าวถอยหลังไปอย่างไม่พูดไม่จาไม่ส่งเสียง ไม่รู้ว่าไป๋เซวียนเซวียนเดินผ่านยามรักษาความปลอดภัยเข้ามาถึงในตึกได้ยังไง แถมยังตามมาหาเซี่ยหลิงหลิงได้ถูกตึกอีกด้วย ตอนนี้เริ่มไม่มีทางหนี เซี่ยหลิงหลิงหมดทางหนี หวังเพียงแค่พนักงานที่เหลือของบริษัทจะเดินผ่านมาเห็นความผิดปกติตรงนี้
“ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ คิดไม่ถึงเลย” ไป๋เซวียนเซวียนแสยะยิ้มออกมา มันน่าเกลียดกว่าการร้องไห้เสียอีก “หากวันนั้นไม่บังเอิญไปเห็นกู้โหยวเมาเหล้า แล้วคอยพร่ำเรียกแต่ชื่อของเธอ ฉันก็นึกว่า! ฉันนึกว่า —— “ เธอก็นึกว่ากู้โหยวหาภรรยาในชาติก่อนแล้วซะอีก
ใครจะไปคิดว่าจะเป็นเซี่ยหลิงหลิง!
ไป๋เซวียนเซวียนคิดถึงเรื่องที่เซี่ยหลิงหลิงยังไม่ได้หย่าก็มายั่วมาอ่อยกู้โหยว ช่างเป็นเรื่องน่าเกลียดซะจริงๆ หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยล่ะก็ เธอก็อยากจะตบเธอสักฉาด เอาให้ใบหน้าสวยๆนั้นเสียโฉมไปเลย!
เซี่ยหลิงหลิงเป็นคนยังไง ทำไมเธอจะไม่รู้ หากมีปัญญาวาดรูปจริงๆ แถมยังปั่นหัวทั้งสองคนได้ ทำไมชาติก่อนถึงได้มีชีวิตที่แย่ถึงขั้นนั้นได้
“ฉันคิดว่ามีแค่ฉันคนเดียวซะอีก......” ไป๋เซวียนเซวียนเม้มปากแน่น “เธอเองก็เหมือนกันสินะ”
เซี่ยหลิงหลิง : “อะไร?”
“เธอเองก็กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งใช่มั้ยล่ะ”
ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะกลับชาติมาเกิดก่อนเธอเสียอีก ถึงได้คว้าโอกาสพวกนี้เอาไว้ได้ ไป๋เซวียนเซวียนเกลียดที่ตัวเองประมาทเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกลับมาเกิดอีกเป็นคนที่สองแบบนี้ ถึงได้ถูกคนอื่นมาคว้าโอกาสตัดหน้าไปแบบนี้ สถานการณ์มันถึงได้กลับตาลปัตรแบบนี้