บทที่ 61
บ๗ที่ 61
เซี่ยหลิงหลิงเปิดประตู
สีหน้าของเย่ซีแสดงความกังวลกระสับกระส่าย กำลังเตรียมจะเคาะประตูต่อ แต่ก็ต้องมาเผชิญกับสายตาของเซี่ยหลิงหลิงเข้าให้
เซี่ยหลิงหลิงยืนกอดอกด้วยท่าทีที่พร้อมไฟว้ ขาข้างนึงเหยียบอยู่บนขอบประตู เพื่อขวางทางไม่ให้เย่ซีเข้าไปได้ : “ขอโทษนะคะ ในบ้านพึ่งถูพื้นไป ยังไม่ค่อยแห้ง มีธุระอะไรก็คุยกันหน้าประตูนี่แหละค่ะ ตรงนี้ลงโกรก รู้สึกตื่นตัวหน่อย”
เย่ซีถูกพูดจาเยาะเย้ยเหยียดหยันซะจนหน้าดำคร่ำเครียด
เมื่อได้รู้ว่าจริงว่าเฉิงรุ่ยเป็นเจ้าของบริษัทเจียเซิ่งแล้ว เย่ซีก็เริ่มนั่งไม่ติด เธอยังหาที่พึ่งดีๆไม่ได้ จึงต้องทนอยู่กับคุณพ่อเฉิงไปก่อนชั่วคราว แต่ใครจะไปรู้ว่ารอไปรอมา ก็มาได้ยินข่าวดีที่สวรรค์ส่งมาให้แบบนี้?
เธอเหวอไปเลยกับทรัพย์สินที่สวรรค์โยนลงมาให้ในตอนนี้ มูลค่าธุรกิจของคุณพ่อเฉิงลดหายไปกว่าครึ่ง กำลังตกอยู่ในสภาพใกล้ตาย ไม่มีอะไรจะคุ้มไปกว่าการที่ยังดำรงอยู่ในสถานะแม่เลี้ยงของเฉิงรุ่ยอีกแล้ว
เธอเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งตัวอย่างมีความสุข แต่งตัวงดงามไฉไลก็เพื่อจะมาสารภาพผิด เธอรู้ว่าเฉิงรุ่ยหัวอ่อนและใจอ่อน จะต้องยอมช่วยเหลือคู่สามีภรรยาที่ตกระกำลำบากอย่างพวกเธอแน่นอน เจ้าเด็กคนนี้ไม่ค่อยได้รับความรักจากผู้เป็นแม่ เธอยอมให้ในสิ่งที่เขาขาดก็น่าจะพอได้อยู่
คิดๆไปแล้ว เย่ซีก็เริ่มบีบน้ำตา ทำน่าทำตาดูน่าสงสาร
“เฉิงรุ่ยจ๊ะ พ่อของแกนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นโรคเส้นเลือดในสมองฉับพลัน แกรีบไปดูอาการของท่านเถอะ!”
ช่วงไม่นานมานี้ คุณพ่อเฉิงเข้าโรงพยาบาลจริงๆ
เหตุผลเพราะ —— รู้สึกโมโหเฉิงรุ่ย
เขาไม่เคยวชรู้มาก่อนเลยว่าลูกชายที่ตัวเองคอยก่นด่าว่าเป็นสวะไม่เอาไหนอย่างเฉิงรุ่ยจะเป็นเจ้าของเจียเซิ่ง ก็เหมือนกับก้อนหินที่ถูกโยนเข้าไปในมุมหลืบ ถูกเขาโยนทิ้งขว้างไปอย่างไม่สนใจแยแส แต่กลับมาค้นพบทีหลังว่าสิ่งที่โยนทิ้งไปนั้นเป็นหยกอันล้ำค่า?
มันเป็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิตใจที่เกินจะยอมรับไหว
คุณพ่อเฉิงหยิ่งทะนงและรักในศักดิ์ คิดไปถึงทุกครั้งที่เขาก่นด่าและตำหนิเฉิงรุ่ยแล้ว ไม่รู้ว่าภายใต้สีหน้านิ่งเฉยของอีกฝ่ายนั้นจะมองเขาว่าเป็นตัวตลกที่ได้แต่กระโดดไปกระโดดมา เมื่อนึกไปถึงว่าเพื่อนสนิทจะมองว่าเขาเป็นพ่อที่แย่ขนาดไหน ความดันของเขาก็พุ่งสูงปรี๊ด ก่อนจะสลบลงไปกองกับพื้น
ในตอนที่คุณพ่อเฉิงเข้าโรงพยาบาล ก็มีคนแจ้งเรื่องมาให้เฉิงรุ่ยแล้วเรียบร้อย เขาไม่แม้แต่จะคิดกลับไปกตัญญู
เซี่ยหลิงหลิงมองดูเย่ซีทำท่าทำทีเสแสร้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกทนไม่ไหว : “คุณนี่ยังจะมีกระจิตกระใจอยู่เนอะ อุตส่าห์แต่งหน้าแต่งตาเขียนคิ้วปัดขนตาก่อนเข้ามาบอกพวกเรา”
“ทำไมเธอถึงต้องเอาเรื่องศีลธรรมมาผูกมัดกันแบบนี้ล่ะ? คนนอนป่วยอยู่บนเตียง หรือต้องให้ฉันไปคอยเฝ้าดูแลอยู่ข้างเตียงอย่างขยันขันแข็งงั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงนะ” เมื่อถูกเซี่ยหลิงหลิงจ้องตาเขม็ง เธอจึงเปลี่ยนสีหน้าอย่างเจียมตัว เริ่มรู้สึกกลัวหน่อยๆ
เซี่ยหลิงหลิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ : “แล้วท่านฟื้นหรือยัง?”
เย่ซีอึ้งไป : “ยังเลย”
“เรื่องที่แค่โทรมาบอกก็ได้ แล้วทำไมถึงอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่”
ถูกเซี่ยหลิงหลิงต้อนซะจนพูดอะไรไม่ออก เย่ซีเงยหน้าขึ้นมอง ขนตาปลอมกระเพื่อมเล็กน้อย ท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่ก็บังเอิญไปสบเข้ากับสายตาของเฉิงรุ่ยที่หลบอยู่ด้านหลังเซี่ยหลิงหลิง
สายตาเรียวยาวคู่นั้น ยืนฟังพวกเขาพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไร และในตอนนี้เขาจ้องมองไปที่เธอ สายตาไม่มีแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกใดๆ และมันทำเอาเย่ซีรู้สึกตื่นตระหนก ไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ
เย่ซีกล่าว : “ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉันรู้ว่าตอนนี้มันไม่สมควร......แต่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อของแก ก็ได้โปรดช่วยเขาด้วยเถอะนะ”
เฮิงรุ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “ขายบริษัททิ้ง แล้วเอาไปรักษา”
“แก! ทำไมแกถึงได้ใจดำแบบนี้? เขาเป็นพ่อแท้ๆของนายนะ ฉันรู้ว่ามันเป็นความผิดของฉัน ฉันจะขอให้นายอภัย แต่ในเวลาแบบนี้อย่าพึ่งเอาความรู้สึกเกลียดชังส่วนตัวมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกเลยนะ......”
ในตอนนี้เซี่ยหลิงหลิงเข้าใจแล้ว
แท้แท้ เย่ซีก็มาเพื่อขอเงิน
“แม้เลี้ยงอย่างฉันไม่มีความสามารถพอที่จะรับผิดชอบอะไร เป็นเพราะฉันไม่มีงานทำ คุณวางใจเถอะ จากนี้ไปฉันจะดูและคุณ......และก็หลิงหลิงให้ดีที่สุด ฉันสัญญา!”
เซี่ยหลิงหลิงฟังชื่อที่เธอเรียกแล้วถึงกับขนลุกซู่ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
เธอแกล้งยิ้มออกมา เรียกออกไปด้วยน้ำเสียงหวานแหวว : “คุณป้าคะ ป้าวางใจเถอะค่ะ หนูดูแลสามีของตัวเองได้ ป้าไม่ต้องเป็นห่วง ป้าเองก็กลับไปดูแลสามีป้าเถอะค่ะ”
ท่าทีของเย่ซีแข็งทื่อไป
“เจ้าเด็กนี่ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ล่ะ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เซี่ยหลิงหลิงจะได้เสวยชีวิตที่สุขสบายแบบนี้ได้เหรอ? ไม่รู้จักบุญคุณเอาซะเลย!
“เฉิงรุ่ย แกช่วยพูดอะไรหน่อยสิ ปล่อยให้ภรรยาของแกมาเสียมารยาทใส่ฉันแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
เซี่ยหลิงหลิง : “ขอโทษนะคะ เขาฟังแค่ฉันคนเดียว”
เฉิงรุ่ย : “อื้ม”
เย่ซีโมโหจนสีหน้าเริ่มเปลี่ยน : “ฉันก็เป็นแม่......”
“หุบปาก”
เซี่ยหลิงหลิงเองก็ถึงกับสะดุ้ง
อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโมโหจนระเบิดออกมาได้ขนาดนี้ แม้ว่าท่าทีของเขาที่นิ่งเฉย น้ำเสียงก็ราบเรียบ มีเพียงสายตาคู่นั้นที่จ้องไปที่เย่ซี เย็นชาซะจนทำให้คนรอบข้างขนลุก
น้ำเสียงเนิบๆของเขาที่เปล่งออกมาเป็นการเตือน : “คุณไม่เหมาะสม”
ท่าทีของเขาทำเอาเย่ซีตกใจจนสติหลุด
เฉงิรุ่ยไม่อยากจะเสวนากับเธอนานไปกว่านี้ เขาดึงแขนของเซี่ยหลิงหลิงเข้าหาตัว ก่อนจะปิดประตูลง