ตอนที่ 31 ห้าสิบล้านนายให้น้อยเกินไปหรือเปล่า   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 31 ห้าสิบล้านนายให้น้อยเกินไปหรือเปล่า
ต๭นที่ 31 ห้าสิบล้านนายให้น้อยเกินไปหรือเปล่า เรื่องของจรรย์ธรถูกแพร่งพรายไปทั่ว แต่ฝั่งปณิดากลับเงียบสงบ ไม่มีสื่อไหนขุดคุ้ยเรื่องของเธอ ทุกคนมุ่งประเด็นไปที่ใบหน้าของจรรย์ธร แถมยังไม่สนใจคนก่อเรื่องอย่างเธอเลยด้วยซ้ำ “ยังดีนะ ที่มีเพียงรอยข่วน” ปณิดานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในมือถือกระจกจ้องมองร่องรอยแผลอย่างละเอียด ฝั่งจรรย์ธรนั่นบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ปณิดากลับโดนกระชากผมหลุดแค่ไม่กี่เส้น ใบหน้าโดนจรรย์ธรข่วนไปเล็กน้อยผ่านไปไม่กี่วันก็สามารถออกไปพบปะผู้คนได้แล้ว เวลานี้เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นได้ทำลายความเงียบที่ปกคลุม ปณิดากำลังทายาที่บาดแผลของเธอไม่ได้สนใจแขกไม่ได้รับเชิญในโทรศัพท์ แต่หลังจากทาเสร็จ โทรศัพท์ของเธอยังคงส่งเสียงดังต่อเนื่องไม่หยุด เหลือบมองชื่อที่บันทึกสีหน้าเธอก็เปลี่ยนทันที เธอกดรับสายยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายได้เร็วกว่าเธอไปแล้วหนึ่งก้าว “ปณิดา เรื่องของมรดกของพ่อฉัน ฉันจะแบ่งบ้านพักตากอากาศและเงินสดอีกห้าสิบล้าน แล้วเราจบเรื่องกันแค่นี้” “ห้าสิบล้านกับบ้านพักตากออากาศหนึ่งหลัง นีติมัตนี่เธอคิดว่าฉันเป็นขอทานหรือยังไง” ปณิดาไม่ใช่คนโง่ มรดกแบ่งครึ่งเท่ากัน สิ่งที่เธอจะได้ไม่ไม่ได้มีเพียงเงินเล็กน้อยแค่นี้แน่นอน “เธอมีความดีความชอบอะไรกับครอบครัวฉันกัน ให้เธอห้าสิบล้านก็ถือว่าเห็นแก่หน้าพ่อฉันมากแล้ว เธอไม่ต้องได้คืบจะเอาศอกเลยนะ” “เหอะ ถ้าอย่างนั้นเราก็เจอกันที่ศาลแล้วกัน” “ปณิดาฉันขอเตือนเธอนะ ฉันพูดดีๆกับเธอไม่ชอบอยากขึ้นศาล เงินสักแดงเดียวเธอก็จะไม่ได้จากฉัน” ปณิดาไม่อยากเสียเวลากับเขาอีกแล้ว กดตัดสายทันที หยิบซองบุหรี่พร้อมเดินไปที่ระเบียงจุดไฟพร้อมยัดก้นบุหรี่เข้าปากสูดเข้าหนึ่งเฮือกใหญ่ ๆ ยามดึก บรรยากาศอันเงียบสงัด ดวงตาของเธอว่างเปล่า มุมปากยกยิ้มเยือกเย็น สำหรับการโทรมาครั้งนี้ของนีติมัตทำให้เธอได้คิดทบทวน สุดท้ายตัดสินใจโทรหานารา “คุณทนายนารา” ฝั่งนารากำลังรวบรวมข้อมูลกรณีต่าง ๆ ของปณิดา คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายโทรมาก่อน “คุณปณิดามีอะไรหรือเปล่า” “เมื่อสักครู่นีติมัตเจ้าคนนั้นโทรหาฉันบอกจะประนีประนอม บอกว่าจะให้เงินสดห้าสิบล้านกับบ้านพักตากอากาศอีกหนึ่งหลัง” นาราพิงไปข้างหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏ “คุณจึงปฏิเสธไปแล้วอย่างนั้นสินะ” “แน่นอนสิ ฉันปณิดาเหมือนคนที่จะถูกเอาเปรียบได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรอ” เธอเท้าสะเอวอย่างยิ่งยโส ถึงแม้จะเป็นเพียงการคุยโทรศัพท์แต่เธอก็ไม่ทิ้งความยิ่งยโสของเธอ จะเสียเปรียบไม่ได้แน่นอน นี่ทำให้นาราอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของจรรย์ธรขึ้นมา ชั่ววินาทีเธอได้กลับเข้าสู่หัวข้อหลัก “วัตถุประสงค์ที่เขาโทรหาคุณ สิ่งสำคัญคือเขาไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะคดี ก็เลยอยากประนีประนอม ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้....” เธอหยุดไปพักหนึ่ง “ฉันออกหน้าติดต่อกับฝั่งนั้น เราคุยกันต่อหน้า ถึงแม้จะประนีประนอม ก็ต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย” หวังว่าผลสรุปการพูดคุยของเธอกับไวทยุตก็จะประนีประนอมเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายก็มีความคิดนี้อยู่เช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีความมั่นใจเลยจึงได้เป็นฝ่ายมาขอร้อง ปณิดาได้ให้ความเชื่อใจแก่นาราไปจนหมด “แบบนี้ก็ได้ แต่ฉันไม่มีวันยอมแพ้แน่ ๆ สิ่งที่ควรเป็นของฉันต้องเป็นของฉัน” “วางใจเถอะ ฉันจะดูแลผลประโยชน์ทางกฎหมายของคุณอย่างแน่นอน เดี๋ยวฉันติดต่อฝั่งนั้นก่อน นัดวันเวลาแล้วจะแจ้งให้คุณทราบอีกที” “โอเค ฝากคุณดูแลให้ด้วย” “เรื่องนั้น.....” เสร็จธุระสำคัญ นาราจึงได้ถาม “คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” ปณิดาหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ไม่เข้าใจคำถามของเธอ เห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรจึงอธิบายเพิ่ม “ฉันเห็นข่าวแล้ว ฉันคิดว่า นอกจากคุณแล้ว คงไม่มีใครกล้าลงมือหนักขนาดนั้นกับจรรย์ธรหรอก” แค่พูดถึงชื่อนี้ ปณิดาก็เข้าใจในทันที เธอหัวเราะเสียงดัง “เธอพูดเรื่องนี้นี่เอง ผู้หญิงคนนั้นเธอวิ่งมาที่บ้านฉัน ชี้หน้าหาว่าฉันไปแย่งผู้ชายกับเธอ คิดว่าตัวเองเป็นตัวอะไร ในสายตาฉันเขาก็เป็นแค่ยัยเด็กหยาบคายคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งฉันยังเคยเตือนเธอไปแล้วธีมนต์ไม่เคยยอมรับเธอในฐานะแฟนของเขาเลย ทั้งหมดเธอคิดไปเองคนเดียวทั้งนั้น” ปณิดากดมอดบุหรี่ กล่าวอย่างจองหอง “คุณอย่าหาว่าฉันรังแกเด็กเลย เพราะเธอเริ่มก่อนฉันเลยต้องให้เกียรติเธอด้วยการเอาคืน ใครจะรู้ว่าเธอจะอดไม่ได้ขนาดนี้ โดนไม่กี่หมัดจมูกก็เบี้ยวซะแล้ว มองดูแล้ว ที่แท้ก็จมูกปลอมที่ทำมานี่เอง หน้าทั้งหนายังบวมขึ้นมาอีก” “คุณปณิดา ฉันขอเตือนคุณสักหน่อย ตระกูลหันมณีจะต้องเอาคืนคุณแน่ คุณต้องระวังตัวด้วย” “กลัวอะไร แม่มีเงิน มีความสามารถจรรย์ธรจะจ้างนักฆ่ามาฆ่าฉันสิ” ปณิดาผู้มีทรัพย์สมบัติหลายสิบร้อยล้านไม่ได้ฟังคำเตือนของนาราเลยสักนิด มีเงินคำพูดก็จะมีความมั่นใจ นาราทำได้เพียงยุดหัวข้อสนทนา “คุยกับฝั่งนั่นเรียบร้อยแล้วฉันจะติดต่อคุณทันที ถ้าช่วงนี้นีติมัตโทรมารบกวนคุณ ก็แจ้งตำรวจไปเลย” “โอเค คุณทนายนารา ฉันจะรอฟังข่าวดีจากคุณ” หลังจากวางโทรศัพท์ นาราได้คิดถึงสิ่งที่ปณิดาได้เล่ามา รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ติดเครื่องบันทึกวีดีโอไว้ที่บ้านของปณิดา บันทึกวีดีโอที่จรรย์ธรโดนทำร้ายเก็บเอาไว้ โรงพยาบาลเอกชนอัลวาโร สังคมภายนอกยังคงรายงานข่าวเกี่ยวกับจรรย์ธรไม่รู้จบ นักข่าวและปาปารัสซี่จำนวนไม่น้อยพยายามแอบแฝงปะปะนเข้ามาในแผนกผู้ป่าย คิดที่จะถ่ายภาพพิเศษนี้ไว้เพียงเจ้าเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสาวถูกทำร้ายเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่ได้คุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลายครั้ง พวกเราก็ได้ย้ายโรงพยาบาลอย่างลับ ๆ ในห้องผู้ป่วย คุณหมอกำลังเปลี่ยนยาให้กับจรรย์ธรแล้วพูดอย่างกำชับว่า “คุณจรรย์ธรครับ รอให้จมูกคุณหายดีก่อน ถ้าจะให้ดีที่สุดหมอแนะนำให้ไปผ่าตัดศัลยกรรมจมูกนะครับ” จรรย์ธรฟังแล้วรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง “คุณหมอคะ ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถผ่าตัดศัลยกรรมตอนนี้ได้เลยไหมคะ?” เธอกระวนกระวายใจ ตอนนี้อยู่กับหน้าโง่ ๆ อย่างนี้ทุก ๆ เธอมีแต่ความรู้สึกแย่เต็มไปหมด “อย่างพึ่งรีบร้อนไปเลยครับ กว่าหน้าจะหายบวมเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาอีกเป็นสัปดาห์ พักผ่อนให้เยอะ ๆ นะครับ” พูดแล้วคุณหมอก็นำพยาบาลออกไป จรรย์ธรจ้องมองตัวเองที่อยู่ในกระจก ทั้งใบหน้าแสดงอาการหดหู่ใจ ผ่านมาก็กี่วันแล้วยังบวมขนาดนี้อยู่อีกหรอ ดีนะที่หางตากับโหนกคิ้วไม่ได้โดนทำร้าย !เมื่อถึงเวลานั้นค่อยไปเพิ่มแก้มอีกถึงจะดี เมื่อทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว จรรย์ธรโมโหจนถึงกลับโยนกระจกทิ้งไป พูดอย่างโมโหฮึดฮัด “ปณิดา ฉันจะไม่มีวันปล่อยแกไปอย่างเด็ดขาด!” เสียงกระจกดัง “เพ้ง” ชีวิตนี้มันจบสิ้นแล้ว นภินทร์ที่ดื่มน้ำมะพร้าวอยู่ข้าง ๆ ตกใจกับการกระทำเมื่อสักครู่นั้นของเธอ “ทำอะไรน่ะ คุณหมอพึ่งจะออกไปก็อาละวาดซะแล้ว ทั้งหมดนี่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับความใจร้อนของตัวเองหรอกหรอ” ณัฐนิชที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ขมวดคิ้วต่อพฤติกรรมของลูกสาว “คุณแม่คะ ฉันโมโหจนทนไม่ไหวแล้วนะคะ” ความอาฆาตแค้นของจรรย์ธรก็เหมือนกับต้นฝอยทอง ยังคงกวนใจของเธอตลอด ความโกรธนี้เธอกลืนมันลงไปไม่ได้เลยจริง ๆ แต่ทว่าน้ำเสียงเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนลง “คุณแม่คะ ฉันไม่สบายใจมากเลยค่ะ ฉันอยากจะเจอธีมนต์” นภินทร์ที่นั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็นึกถึงฉากการกระทำเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมา แอบหัวเราะอยู่ในใจ ธีมนต์ค่อนข้างที่จะสนใจในตัวของพี่นาราเป็นอย่างมาก พี่จรรย์ธรนี่ช่างคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวเสียจริง “ลูกยับยั้งความโมโหไม่ได้ แม่บอกลูกกี่ครั้งแล้วว่าเรื่องทุกเรื่องเราไม่สามารถหุนหันพลันแล่นได้ ทั้งวันนี้ลูกน่ะทำตัวเหมือนไม่ได้เอาสมองมาเลยนะ ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แล้วถ้าเกิดว่าธีมนต์เขาเจอลูกในสภาพนี้ จากนั้นเขายังจะต้องการลูกอยู่อีกไหม?” ณัฐนิชพูดด้วยน้ำเสียงกระทบกระทั่ง ทุกประโยคกระทบกระเทือนจรรย์ธรที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่จะว่าไปเธอก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ สมน้ำหน้าแล้วล่ะที่โดนด่า จรรย์ธรเงียบไปสักพัก แต่ก็ทนไม่ได้จริง ๆ กับความอัดอั้นภายในใจ พูดคัดค้านอย่าฮวบฮาบ: “ไม่ได้ ฉันจะต้องโทรหาธีมนต์ในตอนนี้เลย เขาเป็นของฉัน เขาจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” ณัฐนิชมองเธอด้วยสายตาหยามเหยียด จงใจพูดกระตุ้นเธอ “ตอนนี้สถานการณ์กำลังร้อน ลูกก็โทรเลยสิ ถึงเวลานั้นแล้วอย่ามาร้องไห้กับแม่ให้หาทางออกให้ก็แล้วกัน” คำพูดของแม่ ทำให้เธอลังเลใจ แต่ว่านิสัยที่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุของจรรย์ธร ถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็จะไม่ยอมเลิกลา “คุณแม่คะ ให้ฉันโทรสักหน่อยเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันก็เลิกคิดไม่ได้” ณัฐนิชไม่ได้หันไปสนใจเธอ อย่างจรรย์ธรบอกว่าจะทำก็ต้องได้ทำ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างลวดเร็ว กดเข้าไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่จำได้ขึ้นใจ หนึ่งสาย สองสาย สามสาย........ โทรต่อเนื่องกันจนเวลาผ่านไปแล้ว 15 นาที หลังจะที่โทรเสร็จในทุก ๆ สาย ต่อจากนั้นอีกหนึ่งวินาทีเธอก็กดโทรออกไปอีกครั้ง เธอมีสีหน้าเข้มขึ้น รูปหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ณัฐนิชหัวเราะอย่างเย็นชา “เป็นอย่างไรล่ะ?” “คุณแม่คะ เขา....นึกไม่ถึงเลยว่าจะบล็อกฉันไปแล้ว” โทรไปตั้งนานขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ทุก ๆ ครั้งจะถูกปฏิเสธมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือธีมนต์บล็อกเบอร์โทรศัพท์ของเธอ เธอจึงไม่สามารถโทรเข้าไปได้ นภิทร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ มี่เหม็นยิ่งกว่าขี้ซะอีก มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะอดหัวเราะ ดูเหมือนว่าณัฐนิชจะคาดเดาผลลัพธ์นี้ออกตั้งแต่ต้นแล้ว “ก็ลูกเป็นซะแบบนี้ เขาไม่บล็อกลูกสิถึงจะแปลก แม่บอกลูกกี่ครั้งแล้วว่าที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือหน้าของลูก!” จรรย์ธรไม่สนใจในคำพูดของคนเป็นแม่ ยังคงพูดพึมพำกับตัวเองในโลกของเธอ “ไม่ ฉันจะต้องโทรไปหาคุณหญิงเพ็ญรดี เขาชอบฉันมาก ด้วยนิสัยของเธอแล้วต้องช่วยฉันแน่นอน” ญัฐนิชรู้จักนิสัยของลูกสาวเป็นอย่างดี แล้วจึงนั่งมองเงียบ ๆ อย่างไม่สนใจเธอ นภินทร์เหลือสายตาไปมองแม่ แล้วหันกลับมามองที่จรรย์ธร เธอรับประได้เลยว่าด้วยสภาพโง่ ๆ แบบนี้ของพี่จรรย์ธร แม้แต่คุณหญิงเพ็ญรดีก็จะไม่สนใจเธอ ตามที่จรรย์ธรคิดไว้ทั้งหมด คุณหญิงเพ็ญรดีไม่ได้บล็อกเธอ ในตาของเธอปรากฏความหวัง ใบหน้ายิ้มแย้ม พูดจาอย่างอ่อนหวาน “คุณป้าคะ ฉันจรรย์ธรนะคะ” น้ำเสียงของคุณหญิงเพ็ญรดีราบเรียบ “อือ ฉันรู้แล้ว” ได้ยินเสียงตอบกลับจากคุณหญิงเพ็ญรดี ในใจของเธอก็ซ่อนความหวังเอาไว้นิดหน่อย “คุณป้าคะ ช่วงนี้ไม่มีใครไปช็อปปิ้งเป็นเพื่อนคงเบื่อน่าดูเลยใช่ไหมคะ?วันวันหนูแต่ในโรงพยาบาลก็เบื่อเหมือนกันค่ะ รอหนูหายดีแล้วหนูจะไปเป็นเพื่อนนะคะ!” “รอเธอหายดีก่อนค่อยคุยกันอีกทีแล้วกันนะ!” ช่วงนี้ฉันชอบที่จะดูทีวีอยู่ที่บ้าน ก็ดีอยู่” จะให้เธอไปเดินช็อปปิ้งกับคนมี่มีหน้าแบบนั้น หรือไปช็อปปิ้งกับคนที่กำลังเป็นข่าวดังในโลกออนไลน์ ตัวเธอเองไม่อยากที่จะถูกผลกระทบจากเธอไปด้วย ไม่ได้อยากถูกพาดหัวข้อไปพร้อมกับเธอ “คุณป้าคะ ที่จริงแล้วร่างกายของหนูก็ดีขึ้นมามากแล้วค่ะ ยังเหลือก็แต่หน้า รอหนู....” “โอ๊ะ พี่ไฉไล มีแขกมาใช่ไหม พี่ไปรับแขกแทนฉันก่อนนะ ฉันจะรีบตามไปเดี๋ยวนี้แหละ” คุณหญิงเพ็ญรดีไม่ต้องการที่จะคุยกับเธอต่อแล้ว จึงรีบหาคำโกหกเพื่อที่จะได้วางสาย จรรย์ธรที่ถูกตัดบท มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ได้ให้เธอพูด คุณหญิงเพ็ญรดีก็รีบวางสายไปแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล “จรรย์ธร บ้านของพวกเรามีแขกมาน่ะ เอาไว้พวกเราค่อยคุยกันที่หลังนะ เธอพักผ่อนให้เยอะ ๆ ล่ะ” คุณหญิงเพ็ญรดีที่อยู่ปลายสาย หลังจากที่วางสายก็รู้สึกโล่งออก เธอนึกย้อนไปที่น้ำเสียงของคุณหญิงเพ็ญรดี คนโง่ก็ยังฟังออกว่าตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงเธอ 
已经是最新一章了
加载中