ตอนที่ 42 อย่าพูดเสียดสีลูกชายตัวเองได้ไหม
1/
ตอนที่ 42 อย่าพูดเสียดสีลูกชายตัวเองได้ไหม
เกมรักลวงใจ
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 42 อย่าพูดเสียดสีลูกชายตัวเองได้ไหม
ตนที่ 42 อย่าพูดเสียดสีลูกชายตัวเองได้ไหม นาราขับรถมาจากทางด้านหลัง เมื่อครู่พวกเธอเห็นเหตุการณ์รถชนอยู่ไกล ๆ เป็นความผิดของรถเล็กคันหนึ่งที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด “เราอ้อมไปอีกทางดีกว่าดูจากสภาพแล้วด้านหน้าคงไม่สามารถผ่านได้” นาราเปิดไฟเลี้ยวด้านขวาในขณะที่เธอกำลังจะเลี้ยวเธอก็พบกับคุณหญิงท่านหนึ่งที่กำลังถูกคนขับช่วยออกมาจากรถอย่างลำบาก เธอจึงเบรกรถอย่างแรงจนไวทยุตตกใจกับการกระทำของเธอ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” “ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของธีมนต์” นารามองคุณหญิงเพ็ญรดีที่บริเวณศีรษะมีเลือดอาบและเลือดยังไหลต่อเนื่องไม่หยุด สภาพช่างน่าตกใจ “เราต้อง......” ไวทยุตยังพูดไม่จบนาราก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ววิ่งตรงไปทางนั้นแล้ว ไวทยุตตื่นตระหนกแล้วจึงรีบลงจากรถตามไปทีหลัง นารารีบวิ่งไปหยุดอยู่หน้าคนขับรถแล้วสังเกตอาการของคุณหญิงเพ็ญรดี “อาการของคุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ?” อาการของคุณหญิงเพ็ญรดีไม่ค่อยดีนัก เธอมองนาราด้วยสายตาพร่ามัว อ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่สลบไปก่อน นาราหันหลังแล้วรีบแบกคุณหญิงเพ็ญรดีขึ้นหลังตัวเอง ไวทยุตมาถึงพอดีเห็นการกระทำของนาราจึงเอ่ยขึ้น “ให้ผมแบกดีกว่า!” “ไม่ต้องค่ะ คุณรีบไปขับรถเราจะไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด” นาราเอ่ยขึ้นในขณะเดียวกันก็เร่งความเร็วของฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก ภายใต้ความช่วยเหลือของไวทยุต เธอให้คุณหญิงนอนบนเบาะด้านหลังโดยมีเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ และมีไวทยุตเป็นคนขับรถ คุณหญิงเพ็ญรดีอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอปวดหัวจนแทบจะเป็นลมและพึมพำออกมาอย่างสะลึมสะลือ “ปวดหัว ปวดหัวเหลือเกิน!” นาราก็เอ่ยปลอบใจไปตลอดทาง “ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว อดทนหน่อยนะคะ!” “คุณป้าห้ามหลับเด็ดขาดนะคะ” นารามองวิวที่ผ่านสายตาจากทางหน้าต่างก็คิดว่าความเร็วของรถยังไม่พอจึงเอ่ยเร่ง “คุณยุตคะ ขับเร็วกว่านี้อีกหน่อยค่ะ!” …… ภายในห้องพักผู้ป่ายที่เงียบสงบ ดอกลิลลี่ที่ส่งกลิ่นหอมอยู่บริเวณริมหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวที่ลอยพลิ้วไปตามสายลม กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื่อที่ชัดเจนจนไม่อาจมองข้าม มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง เขาจ้องมองคุณหญิงเพ็ญรดีด้วยแววตาห่วงใย ธีมนต์ได้รับสายจากนาราก็รีบตามมาทันที ตอนนั้นแพทย์กำลังดูอาการคุณหญิงเพ็ญรดีอยู่ จนกระทั่งคุณหญิงออกจากห้องฉุกเฉิน นาราจึงปลีกตัวกลับไป เขาไม่มีทางลืมภาพที่ตัวของนาราเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่ใบหน้างดงามนั้นก็เปื้อนไปด้วยเลือด แต่เขากลับรู้สึกว่าภาพนั้นช่างเป็นภาพที่งดงามนัก คุณหญิงเพ็ญรดีที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกตัว เธอเห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ข้างเตียงและภาพเหตุการณ์รถชนก็ค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาในหัว นางจิ้งจอกนั่นเป็นคนส่งตัวเธอมาโรงพยาบาล แล้วแม่นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ? “คุณแม่ฟื้นแล้วเหรอครับ?” ธีมนต์ปรับเตียงคนป่วยให้เอนขึ้นเพื่อให้คุณหญิงเพ็ญรดีอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วเทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง หลังจากดื่มน้ำไปสองอึก คุณหญิงเพ็ญรดีก็หาเสียงตัวเองเจอและประโยคแรกที่ถามคือ “นางจิ้งจอกนั่นไปไหนเสียล่ะ?” “เธอกลับไปแล้ว” “ช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย พาฉันมาส่งโรงพยาบาลแล้วก็กลับเลย ไม่อยู่ดูอาการฉันหรือไง?” คุณหญิงมองไปรอบๆห้องก็ไม่พบกับแม่นั่น ธีมนต์จึงอธิบาย “คุณแม่ครับเสื้อผ้าของเธอเต็มไปด้วยเลือดของคุณแม่ พอแม่ออกจากห้องฉุกเฉินแล้วหมอบอกว่าปลอดภัยแล้ว ผมจึงให้เธอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” “เป็นแบบนี้นี่เอง......ก็ยังถือว่ามีน้ำใจ” คุณหญิงเพ็ญรดีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ธีมนต์เห็นท่าทางของแม่ตัวเองที่รีบถามหานาราก็เผยยิ้มออกมา “คุณแม่รีบถามหาเธอแบบนี้ คงไม่ใช่จะสอบถามเธอนะครับ?” คุณหญิงนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง “ตอนอยู่บนรถฉันได้ตรวจสอบสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว คนอื่นอาจจะคิดว่าฉันหมดสติไปแล้วแต่ฉันยังมีสติได้ยินพวกเขาคุยกันอยู่” “ในตอนนั้นยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง ระหว่างทางพวกเขายคุยกันเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย ผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นทนายความ” ในตอนนั้นเองธีมนต์ก็นึกถึงไวทยุต “ทนายความคนนั้นเป็นเจ้านายของเธอ” “เจ้านายงั้นหรือ?” คุณหญิงเพ็ญรดีไม่เข้าใจ “ทำไมหล่อนไปอยู่แผนกทนายความล่ะ?” เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เคยบอกแม่ตัวเองเกี่ยวกับประวัติของนารา เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังเขาจึงเอ่ยขึ้น “คนที่แม่เรียกว่านางจิ้งจอกอยู่ทุกวันนั่นน่ะเขาเป็นทนายความ ช่วงก่อนที่บริษัทมีข่าวเสียหายเรื่องการละเมิดข้อมูลก็เป็นเธอนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนเสามร้อยล้าน” “อะไรนะเป็นหล่อนเองงั้นหรือ?” คุณหญิงเพ็ญรดีตกตะลึงกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ นางจิ้งจอกนั่นเก่งขนาดนี้เลยหรือนี่ ตอนแรกเธอคิดว่าแม่นั่นจะเป็นแค่พนักงานธรรมดาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงทนายความแล้วยังเป็นทนายความที่มีฝีมืออีกต่างหาก คุณหญิงเพ็ญรดีถอนหายใจแล้วมองธีมนต์อย่างผิดหวัง เธอจึงบ่นขึ้นมา “มิน่าล่ะหล่อนไม่ชอบแก หล่อนเก่งขนาดนั้นคงมีคนมาตามจีบมากมาย คงไม่มายึดติดอยู่กับแกหรอก!” ธีมนต์ได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ แม่อย่ามาพูดเสียดสีลูกชายตัวเองได้ไหม? ” “ฉันพูดความจริงต่างหาก!” คุณหญิงเพ็ญรดีมองท่าทางไม่เอาไหนของเขาแล้วจึงหลับตาพักผ่อนเพื่อเป็นการเมินเขาไปในตัว ธีมนต์ไม่เข้าใจ ในสายตาแม่เขาเป็นคนไม่เอาไหนขนาดนั้นเลยเหรอ? “แม่รอดูได้เลย สักวันผมต้องปราบยัยปีศาจนั่นให้ได้” ยัยปีศาจท้าทายอำนาจเขาหลายครั้งแล้ว สักวันเขาจะต้องทำให้เธอกลายเป็นแมวน้อยให้กำมือเขาให้ได้ คุณหญิงเพ็ญรดีส่ายหัวเบา ๆ “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” ** โรงพยาบาลเอกชนอัลวาโร ณัฐนิชปักกุหลาบขาวช่อหนึ่งลงในแจกันแล้วเอ่ยขึ้น “จรรย์ ฉันเห็นร่างกายแกฟื้นตัวได้ดีเลยทีเดียว” จรรย์ธรไม่เห็นด้วย “แต่จมูกหนูน่าเกลียดมาก” เนื่องจากกระดูกอ่อนที่เสริมเข้ามานั้นแตกหัก ตอนผ่าตัดจึงต้องเอาออกทำให้ตอนนี้จมูกดูไม่เป็นรูปเป็นร่างและยังมีรอยช้ำอย่างเห็นได้ชัด ณัฐนิชจึงนั่งลงแล้วปลอบโยนเธอ “ใจเย็นๆ ตอนนี้เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย หมอก็บอกแล้วว่ารอจมูกหายบวมก็สามารถทำการผ่าตัดตกแต่งได้” พอพูดถึงหัวข้อการสนทนานี้เธอก็รู้สึกไม่สบายใจจึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “แม่ทำไมมาคนเดียว แล้วพ่อล่ะ?” เอ่ยถึงเรื่องนี้ ณัฐนิชก็บ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ใครจะไปรู้ว่าพ่อแกทำอะไร วันๆก็เอาแต่บอกว่างานที่บริษัทยุ่งมากกำลังจะเปิดโครงการใหม่ สองสามวันนี้กลับบ้านดึกตลอด” “ยุ่งขนาดนั้นจริงหรือ?” จรรย์ธรบ่นพึมพำ สีหน้าของณัฐนิชก็เข้มขึ้นมาทันทีแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเหี้ยม “ให้มันเป็นจริงอย่างที่บอกนะ ถ้าฉันสืบเจออะไรละก็......” เธอไม่ได้โง่เหมือนลูกสาวเธอ ถ้านิรุทธ์กล้าทำเรื่องที่มันหยามเกียรติเธอ เธอจะไล่เขาออกจากบ้านตัวเปล่าแล้วค่อยไปจัดการกับนางจิ้งจอกนั่นทีหลัง จรรย์ธรเห็นสายตาน่ากลัวของมารดาก็รู้สึกกลัวแทนบิดาของตนขึ้นมาจึงพูดแก้ตัวแทน “บริษัทนาโนเบย์ของเราเป็นกิจการใหญ่ พ่อยุ่งมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติเพราะพ่อไม่มีผู้ช่วยเก่งๆคอยช่วยเหลือเลย!” “ช่างมันเถอะ ไม่พูดถึงพ่อแกแล้วเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย” ณัฐนิชมองหน้าลูกสาวแล้วเอ่ยขึ้นด้วยนำเสียงจริงจัง “จรรย์ โอกาสของแกมาถึงแล้ว!” คำพูดของเธอทำให้จรรย์ธรตื่นเต้นขึ้นมาทันทีและมองเธออย่างมีความหวัง “โอกาสอะไรเหรอคะ?” “ฉันได้ข่าวว่าคุณหญิงเพ็ญรดีประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องการคนดูแลนี่แหละคือโอกาสของแก” แววตาของณัฐนิชเต็มไปด้วยแผนการ สำหรับธีมนต์เธอไม่ได้คาดหวังว่าลูกสาวเธอยังจะสามารถจัดการอะไรได้อีก แต่คุณหญิงเพ็ญรดีเป็นคนจิตใจดีและเข้าใกล้ได้ง่าย ลงมือผ่านทางคุณหญิงคงจะดีกว่า จรรย์ธรพูดไม่ออก แววตาเต็มไปด้วยความสับสน นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสเหรอ? ข่าวฉาวของเธอโด่งดังขนาดนั้นอย่าว่าแต่คุณหญิงเพ็ญรดีจะมองเธอยังไงเลย ขนาดตัวเธอเองยังรู้สึกว่าความหวังช่างริบหรี่ “แกได้ฟังที่ฉันพูดไหม?” “ฟัง หนูฟังอยู่แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะยาก” ตอนนี้เธอไม่มั่นใจในตัวเองเลยสักนิด ณัฐนิชกุมมือเธอเอาไว้ราวกับว่ากำลังส่งพลังไปให้เธอ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ “จรรย์ ตอนนี้ถึงแกจะต้องกลายเป็นคนหน้าด้านก็ต้องทำตัวดีๆต่อหน้าคุณหญิงเพ็ญรดี ให้คุณหญิงขาดแกไม่ได้” เธอวางแผนไว้เป็นอย่างดี ธีมนต์เสียพ่อไปตั้งแต่เด็กจึงเติบโตมากับแม่ เขาจึงเคารพแม่มาก ขอแค่คุณหญิงเพ็ญรดีชอบเธอก็ไม่มีเรื่องอะไรยากอีกต่อไป หลังจากถูกมารดาล้างสมอง จรรย์ธรก็รู้สึกฮึดขึ้นมา ใครกันจะไม่เคยมีเรื่องฉาวโฉ่ เรื่องพวกนี้เดี๋ยวก็จางหายไปตามกาลเวลาเองนั่นแหละ แต่ว่าเธอก็คิดถึงใบหน้าของตัวเอง “แม่ตอนนี้จมูกหนูยังไม่ได้ผ่าตัด ไปหาคุณหญิงเพ็ญรดีสภาพนี้จะไม่น่าเกลียดเหรอคะ?” “จากสภาพแกตอนนี้ คุณหญิงคงเฉยๆกับแกและไม่มีทางญาติดีด้วย แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำตัวดีไว้ก่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมคุณหญิงกับแก” ณัฐนิชวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล “งั้นหนูต้องออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลยเหรอคะ” ณัฐนิชกรอกตาใส่เธอ “แกรีบไปไหน?” “ฟังแม่พูดแล้วหนูตื่นเต้นอยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ใบหน้าของเธอนั้นหายบวมแล้วตอนนี้ก็เหลือแต่จมูกที่ยังไม่เข้าร่องเข้ารอย “แกออกจากโรงพยาบาลตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มทื่ พรุ่งนี้เราค่อยไปเยี่ยมคุณหญิงเพ็ญรดีด้วยกัน” “ก็ได้ค่ะ!” จรรย์ธรเลือกที่จะทำตามคำแนะนำของแม่เธอ เพราะความใจร้อนมุทะลุของเธอทำให้เธอผิดพลาดครั้งใหญ่ คิดถึงตรงนี้เธอก็ถอนหายใจแล้วคิดถึงใครคนหนึ่ง แววตาแสดงถึงความโหดเหี้ยม “ตอนนั้นเรื่องที่แม่บอกว่าจะจัดการนังปณิดา ตอนนี้มีความคืบหน้ายังไงบ้างคะ?” ณัฐนิชยิ้มเย็นแววตามีความอาฆาตแค้น “ใจเย็นๆ แม่นั่นหนีไม่พ้นแน่ ฉันไม่เชื่อว่าแม่นั่นจะจัดการยากกว่านังนารา!” พูดถึงนาราเธอก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหล่อนมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว แต่เรื่องอันทรงเกียรติที่หล่อนเคยทำไว้ค่อนข้างมีผลกับจิตใจเธอ สลัดความไม่สบายใจออกไป เธอก็เอ่ยถามอีก “คุณแม่ชอบบอกให้หนูใจเย็นๆ เรื่องปณิดาสรุปแล้วแม่ได้ลงมือหรือยังคะ?” “ฉันหย่อนเหยื่อลงไปแล้วเหลือแค่รอปลามากินเบ็ด ถ้ามันมากินเบ็ดฉันจะทำให้มันสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง” แววตาของณัฐนิชเยือกเย็นราวกับปีศาจที่สามารถฆ่าคนได้ทุกเมื่อ “สภาพอย่างนังปณิดายังมีหน้ามาแย่งผู้ชายกับแก ไม่ได้ดูสภาพตัวเองเลยสักนิด” “สรุปคุณแม่จัดการมันยังไงคะ?” จรรย์ธรสงสัยว่าเหยื่อที่แม่เธอบอกคืออะไรกันแน่? แล้วที่บอกว่ากินเบ็ดนั่นอีก? ณัฐนิชหัวเราะเบาๆ “แกวางใจเถอะ ถึงตอนนั้นฉันรับรองว่าแกจะได้ของขวัญชิ้นใหญ่ วิธีการไม่สำคัญแกรอดูผลลัพธ์ก็พอ” “อีกนานแค่ไหนคะ?” จรรย์ธรรอคอยอย่างตื่นเต้น “รีบร้อนไปไหน ตกปลาตัวใหญ่ต้องมีความอดทน” “ก็ได้ค่ะ” แสงยามเย็นช่างสว่างไสวและงดงามยิ่งนัก จรรย์ธรหรี่ตามองดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าจู่ๆก็คิดขึ้นได้ “ แม่สืบหานังชั้นต่ำนั่นเจอหรือยังคะ? ปีกว่าแล้วก็ไม่มีข่าวคราวของมัน หรือว่ามันจะอยู่เบื้องหลังคอยลงมือจัดการเราคะ?” จากความน่ากลัวของนารา คนตระกูลหันมณีคงจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่เธอทำตอนนั้นทำให้ทุกคนฝังใจ ถ้าเธอกลับมาตระกูลหันมณีคงไม่อยู่ไม่สุขแน่ พูดถึงเรื่องนี้แววตาของณัฐนิชก็มีความเหี้ยมโหด “ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวแต่ฉันให้คนสืบอยู่ตลอด แต่นังชั้นต่ำนั่นน่าจะยังอยู่ต่างประเทศเพราะฉันให้คนสืบรายชื่อผู้โดยสารที่บินกลับประเทศในช่วงนี้ก็ไม่มีชื่อนังนั่น” จรรย์ธรโล่งใจไปเปราะหนึ่ง “เป็นแบบนั้นก็ดีค่ะ” พูดถึงนารา แววตาของณัฐนิชก็เหมือนจะกินคนได้ เธอกัดฟันพูดอย่างคับแค้นใจ “ฉันไม่มีทางให้มันกลับมาแบบมีลมหายใจแน่ ถ้ามันกล้ากลับมา ฉันจะทำให้จุดจบของมันแย่ยิ่งกว่าแม่มัน!”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 42 อย่าพูดเสียดสีลูกชายตัวเองได้ไหม
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A