ตอนที่ 31 ใส่ร้ายป้ายสี
1/
ตอนที่ 31 ใส่ร้ายป้ายสี
แผนรักเอาใจ
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 31 ใส่ร้ายป้ายสี
ตนที่ 31 ใส่ร้ายป้ายสี ตำแหน่งของหลินหยู่นจูไม่ได้สูงมากนัก เธอเป็นเพียงแค่ล่ามแปลภาษาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเทียบกับหัวหน้างานต่างมันคนละชั้นกันเลยจริงๆ การประชุมได้เริ่มขึ้นโดยการที่แซ่ร์เพ้ยถิงหัวหน้าเลขากล่าวเปิด ผู้เข้าร่วมประชุมต่างก็หยิบปากกาที่พบติดตัวกันขึ้นมาเตรียมจดสาระสำคัญของการประชุม และชายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะท่านประธาน ปากที่เข้ารูปสวยและนัยน์ตาที่เผยให้เห็นถึงความสุขุมและความฉลาดก็ได้ยืนขึ้นต่อหน้าผู้เข้าประชุมทุกคน แล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงความมีมารยาท ชายหนุ่มบางครั้งยืดมือออกแล้ววางไว้บนโต๊ะ และบางครั้งก็ใช้ปลายเล็บมือเคาะโต๊ะเบาๆ ตามด้วยรอยยิ้มจากปากบางๆ ที่กำลังยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้โดยที่ตนไม่ต้องเสียแรงอะไรมากมายขนาดนั้นเลย หลินหยู่นจูไม่ได้ทันตั้งตัวก็เผลอมองชายคนนั้น แล้วทำให้ในหัวเธอมัวแต่นึกถึงเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาที่เกิดจากชายที่ชื่อว่าฉีเทียนโย่ว เธอราวกับโดนมนต์สะกด ไม่ว่าจะเวลาทำงานหรือเธออยู่บ้านแล้วก็ตาม ก็มักจะคิดถึงเขาโดยไร้สาเหตุ ถึงแม้เธอจะพยายามข่มมันเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกที่มีในใจได้เลย ตอนนี้ ฉีเทียนโย่วเปรียบเสมือนดวงจันทร์กลางหมู่ดาว ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามมันทำให้เราดูห่างไกลจากเขาซะเลยเกิน ตัวเธอเองล่ะ? เธอก็เหมือนกันกับคนแสนล้านคนบนโลกในนี้ ที่แสนจะธรรมดาและไม่น่าเหลียวมอง เธอมองลงต่ำ ทันใดนั้นเธอก็รับรู้ถึงความรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก อยู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาอาฆาตคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธอมาจากข้างหน้าไม่ไกล และมันกำลังจับจ้องเธออยู่ ด้วยความอยากรู้เธอเลยแหงนหน้าขึ้นแล้วใช้สายตาไร้เดียงสาของเธอมองด้วยความสงสัย และได้ไปสบสายตาดูถูกดูแคลนของซูจิ่งเฉิน “นักแปล” “คุณนักแปล!” จนกระทั่งมีคนเรียกเธอเบาๆ เธอถึงจะหยุดสบตา สมควรตายเสียจริง!ทำไมถึงไปจ้องตาเขาแบบไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวแบบนั้นกันนะ หลินหยู่นจูก็รีบหลบตา แล้วยืนขึ้น และรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นฉีเทียนโย่วยืนอยู่ใกล้กับลู่เหยียน เอกสารสำคัญอยู่ในกำมือ หลินหยู่นจูหยับยั้งตัวเองอยางเงียบๆ ไม่ให้คิดอะไรมากแล้วตอนนี้ จะต้องทำให้การประชุมผ่านได้ด้วยดี และห้ามทำพลาดอีกเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริงมักจะกลับกันเสมอ สงสัยจะเป็นเพราะรองเท้าส้นสูงและอาจเป็นเพราะแผลกระแทกที่หัวเขายังไม่หายดี เวลาเธอเดินเหินก็มักจะโซซัดโซเซ ร่างกายดูไม่มีทิศทางและไม่มั่นคง แต่ยังดีที่มีเพื่อนร่วมงานมาช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน ไม่งั้นหลินหยู่นจูต้องล้มแน่ๆ แต่ว่าถึงจะเป็นอย่างนี้ก็เถอะ ด้วยมือที่ต้องค้ำโต๊ะเอาไว้ของเธอได้ไปปัดแก้วน้ำบนโต๊ะตกลงจะมีเสียงแตกดัง “เพล้ง” ห้องประชุมขนาดใหญ่ก็เงียบชะงัก ถูกเสียงแก้วหล่นแตกทำลายบรรยากาศตึงเครียดหายไปเลย “ทำแบบนั้นไปได้ยังไง เธออยู่ตำแหน่งอะไร” สิ้นเสียงตำหนิเสียงพึมพำของการวิพากษ์ก็ดังตามขึ้นมา เพียงเห็นฉีเย่วยืนขึ้นด้วยความโมโห ขมวดคิ้วด้วยความโกรธและเย่อยิ่ง ทุกสายตาก็มองไปจับจ้องที่หลินหยู่นจู จนหลินหยู่นจูรู้สึกเพียงว่าทุกสายตากำลังจ้องทะลุตัวเธอไปแล้ว “ท่านรองประธาน” แซร์เพ้ยถิงลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของฉีเย่วแล้วพูด “นี้คือล่ามแปลภาษาที่บริษัทรับเข้ามาใหม่ค่ะชื่อหลินหยู่นจู” “คนเลินเล่อเซ่อซ่าแบบนี้ใครเขารับเข้ามาทำงานกันนะ?” ฉีเย่วพูดเหน็บและกะแนะกะแหนกับแซ่ร์เพ้ยถิง แต่สายตาไม่ได้ละไปจากหลินหยู่นจูเลยตั้งแต่เริ่มจนจบ “......” แซ่ร์เพ้ยถิงนิ่งไปซักพัก “หัวหน้าเลขา ฝ่ายแปลเราไม่มีคนแล้วเหรอ” “มีค่ะ” “ไล่เธอออกแล้วไปพาคนใหม่เขามา” “ค่ะ” แซ่ร์เพ้ยถิงพยักหน้า แล้วเดินไปยังด้านหน้าของหลินยู่นจูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิม “คุณหลินหยู่นจู ขออภัยด้วยค่ะ คุณสมบัติของคุณไม่เหมาะที่จะเป็นล่ามให้กับตระกูลฉีค่ะ” นี้มันใส่ร้ายก็ชัดๆ แค่การแสดง หลินหยู่นจูไม่พอใจ ต่อว่าเธอไม่มีมารยาท ไม่เรียบร้อย เธอเข้าใจได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันชัดเจนว่ามีคนกำลังให้ร้ายเธอ “หัวหน้าเลขา ฉันไปได้นะคะ แต่ฉันต้องทำให้มันชัดเจนก่อน คือฉัน...” “หุบปาก” เป็นที่ตะลึง คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดได้ปริปากพูดขึ้นแล้ว ทันใดนั้นทุกสายตาก็ถูกดึงความสนใจไปที่ตรงนั้น คนที่ได้พูดขึ้นนั้นก็เป็นฉีเทียนโย่วจริงๆ หลินหยู่นจูสงสัยในใจไม่รู้คำว่า “หุบปาก” ของเขานั้นหมายถึงใครกันแน่? แต่ดูเหมือนเขาว่าตัวเธอเลยจริงๆ สายตาของเธอเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ “คุณหลินหยู่นจู” ฉีเทียนโย่วมองด้วยสายตาเบื่อหน่ายแล้วกัดฟันตัวเองเพื่อไม่ให้ความโกรธมาลงที่หลินหยู่นจู “ค่ะ” หลินหยู่นจูตอน “ล้มเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ในขณะที่ทุกคนคิดว่าประธานจะต้องด่าไล่เธอออกไป แต่กลับได้ยินการถามไถ่อย่างเป็นห่วง ทุกคนก็แสดงท่าทีงุนงงกันไปตามๆ “ไม่มีค่ะ” หลินหยู่นจูอึ่งเป็นคนแรก แล้วรีบพูดต่อ “คือเมื่อกี้ฉัน” “ในเมื่อไม่มีอะไร พวกเราก็เริ่มประชุมกันต่อเถอะ” ชายหนุ่มออกสั่งสังอีกครั้ง “คือเมื่อกี้ฉัน” หลินหยู่นจูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ และยังจะอธิบายอะไรซักอย่างต่อ “คือฉัน” ในห้องประชุมขนาดใหญ่ เสียงที่ดูอ่อนน้อมของฉีเทียนโย่วได้ก้องขึ้นออกคำสั่งกับทุกคน เขาเพียงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงธรรมดาไม่มีน้ำเสียงที่ดูบังคับเดียวอย่างใด ก็สามารถควบคุมทุกคนได้ “ในเมื่อคุณหยู่นจูไม่ได้ล้มเจ็บตรงไหน พวกเราก็ประชุมกันต่อเถอะ” หลินหยู่นจูคำเซ่อ! เรื่องเข้าใจผิดของเธอยังไม่ทันได้ทำให้กระจ่าง ยังไม่ได้พูดเรื่องที่มีคนให้ร้ายเธอออกมาเลย ทำไมเขาถึงทำแบบนี้นะ? หรือว่ากำลังปกป้องน้องสาวของเขาอยู่ ดูเหมือนเวลามาจะมาหยุดอยู่ตรงนี้ หลินหยู่นจูแทยจะต้องกลั้นหายใจและเก็บมันเอาไว้ ทำยังให้เธอถึงจะหายใจออกได้เหรอ? ฉีเย่วถูกฉีเทียนโย่วแย้งอย่างอ้อมค้อม แล้วทำให้หน้าไม่พอใจขึ้นเล็กน้อยเพื่อห้ามไม่ให้ขัดการทำงานของทุกคน เธอมองไปยังแซร์เพ้ยถิงเพื่อส่งสัญญาณ และเยถิงจึงเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองโดยที่เธอไม่พูดอะไรซักคำ ขณะนั้นลู่หยินได้ยืนขึ้นแล้วเดินไปยังหลินหยู่นจูแล้วกระชิบเบาๆ “คุณหลินหยู่นจู ถ้าหากไม่ได้มีเรื่องที่ด่วนหรือสำคัญอะไรขอตอนนี้อย่าพึ่งพูดออกมานะครับ และหวังว่าคุณจะเข้าใจความหมายของผม” พูดเสร็จลู่เหยียนก็ส่งสายตาเห็นใจให้กับหลินหยู่นจู หลินหยู่นจูเกือบจะเข้าใจแล้ว แต่อย่างไรก็ตามใจของเธอก็ยังอยู่รู้ไม่โอเคอยู่เล็กน้อย ในสถานการณ์แบบนี้นั้นจะให้ฉีเทียนโย่วช่วยเหลือเธอก็คงจะไม่ได้ หลินหยู่นจูเลยพยักหน้าแล้วหยิบเอกสารของวันนี้ขึ้นมา แล้วเริ่มทำงานแปลของตน
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 31 ใส่ร้ายป้ายสี
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A