บทที่ 4 อย่าร้องสิ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 4 อย่าร้องสิ
บทที่ 4 อย่าร้องสิ ตอนบ่ายก่อนเลิกเรียน พิมพ์ภากำลังจัดโต๊ะอยู่ เธอเป็นกรรมการของห้อง เวลาโรงเรียนมีงานอะไรเธอจะเป็นคนเชิญชวนให้ทุกคนมาเข้าร่วม แผ่นโฆษณานั้นวางอยู่ที่โต๊ะของเธอ “การแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับประถมและมัธยมระดับประเทศได้เริ่มขึ้นแล้ว ขอเชิญชวนทุกคนมาสมัครเข้าร่วมแข่งขันกัน” แผ่นสีแดงขนาดใหญ่นั้นแต่ที่เด่นชัดที่สุดคือตัวอักษรสีดำตรงกลางนั้น รางวัลที่หนึ่งแปดพันหยวน แปดพันหยวน เกวลินสติลอย ปีนี้แปดพันไม่ได้น้อยเลย เงินเดือนงานวิจัยของพ่อได้มาหกพัน เงินทุนต่อปีของเธอก็ห้าพัน ความจริงสถานะทางบ้านก็จนมากแล้ว เพื่อเงินผ่าตัดตาของเธอ พ่อทั้งเอาของไปจำนำ ทั้งไปยืมเงินบรรดาญาติๆ ทุกวันหยุด จะเห็นญาติมาทวงเงินกับพ่อเสมอๆ พ่อทำได้แค่ยิ้มรับ ทั้งขอโทษทั้งขอประนีประนอม ขอผ่อนผันไปเรื่อยๆ จนภายหลังขอผ่อนผันไม่ได้แล้ว และเกวลินยังเกิดเรื่องจนเสียโฉมไปอีก สุดท้ายพ่อจึงต้องไปทำงานรังสีที่ร้ายแรงที่สุด พิมพ์ภาไม่ได้สังเกตว่าเกวลินเหม่อลอย เก็บกระเป๋าพลางคุยเล่นไปด้วย“วันเกิดครั้งก่อนของพรพิมนต์ ได้ยินว่านรวิทย์ไม่ได้ไปล่ะ แล้วเมื่อครู่ไม่รู้อะไรเหมือนกัน เธอบอกเมื่อเย็นนรวิทย์ชวนคนในห้องของเธอไปเที่ยวเมืองแกนในวันหยุดนี้ ลิน รู้จักเมืองแกนไหม” เกวลินส่ายหน้า ดวงตาของพิมพ์ภาเป็นประกาย“ฉันก็ไม่เคยไปเช่นกัน แต่ฉันรู้ว่าถ้าไปที่นั่นใช้เงินอย่างน้อยที่สุดประมาณหมื่นกว่าหยวนเลย” เธอตื่นเต้นก่อนจะเบะปาก“ทุกคนรู้กันหมดว่าพรพิมนต์อยากจะอวด แต่นรวิทย์ก็รวยมากจริงๆ และมีอำนาจมากด้วย เฮ้อ ใครให้พรพิมนต์สวยขนาดนั้น พวกเราจึงไม่มีโอกาสเลย” เกวลินหลุบตาลง หยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา แล้วตั้งใจเขียนชื่อของตัวเองลงไป เธอรู้ว่าโลกใบนี้มันไม่ยุติธรรม บางคนรวยล้นฟ้า บางคนก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก “ลิน เธอจะสมัครคณิตศาสตร์โอลิมปิกหรือ” “อือ” “เธอเคยเรียนหรือ” “เคยเรียนตอนเด็กมานิดหน่อย ยังมีเวลาอีกสองอาทิตย์ ฉันจะเริ่มฝึกฝนแล้วลองไปสอบดู” พิมพ์ภาอดรู้สึกไม่ได้ว่าเกวลินนั้นเก่งมากจริงๆ เกวลินถอนหายใจในใจ ตั้งแปดพัน ไม่ได้ก็ต้องได้ เธออยากให้พ่อห่างออกจากงานทดลองรังสีนั่น อย่างแรกอย่าได้ตกไปในวงล้อมกองไฟนั่นจนเสียโฉมอีก อย่างที่สองคิดวิธีหาเงินซะ ตอนนี้เธออายุสิบเจ็ด และยังอยู่แค่ม.5 พ่อต้องไม่ยอมให้เธอลดการเรียนเพื่อทำอย่างอื่นแน่ แต่กับการแข่งขันนั้นไม่เหมือนกัน เกวลินชะงักนิ่ง เธอมองแผ่นพับของคณิตศาสตร์โอลิมปิก ทันใดนั้นก็รู้แล้วว่าจะหาเงินด้วยวิธีไหนดี เธอถามกับพิมพ์ภา“นอกจากประกาศคณิตศาสตร์โอลิมปิก ยังมีงานแข่งอย่างอื่นอีกไหม” “มีนะ ยังมีแข่งสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ แต่เป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อน” เกวลินรู้สึกผิดหวัง พิมพ์ภานึกคิด“แต่ฉันได้ยินมาว่าวิทยาลัยอโศกศิลย์ที่อยู่ข้างๆมีรายการแบบนี้เยอะมากๆ ร้องเพลงเต้นเล่นเปียโน โรงเรียนพวกเขาได้ชื่อว่านักเรียนศิลปะอยู่แล้ว แต่ว่าลิน” พิมพ์ภามองเธอ ท่าทาอ้ำอึ้ง ก่อนจะกล่าวออกมา“ช่างมัน ไม่มีอะไร” ตาของลินได้รับบาดเจ็บ จะไปเต้นหรือดีดเปียโนได้อย่างไรกัน วันนี้เป็นหน้าที่ของพิมพ์ภา หน้าที่กรรมการนักเรียนของโรงเรียนครีสเตียนพยารามนั้นง่ายมาก คอยลบกระดานดำ และปิดหน้าต่างให้เรียบร้อยหลังเลิกเรียน เกวลินช่วยทำไปพร้อมเธอ ตอนที่เด็กสาวทั้งสองมาปิดหน้าต่างถึงได้รู้ว่าแย่แล้ว ฟ้าร้องฟ้าลั่น เหมือนฝนจะตกได้ทุกเมื่อ พิมพ์ภาสบถอย่างไร้เสียง “ลิน เธอได้เอาร่มมาไหม” เกวลินไม่มี พิมพ์ภาเองก็ไม่มี ปีนี้โรงเรียนครีสเตียนพยารามไม่มีนโยบายร่มสาธารณะ เพราะเกวลินต้องรอพิมพ์ภา อนัทจึงได้กลับไปนานแล้ว เด็กสาวทั้งสองมาถึงชั้นหนึ่ง มองไปยังม่านฝนบนฟ้า ก็รู้สึกกังวลใจ โรงเรียนของพวกเขาไม่ให้นำมือถือมา และปีนี้เกวลินเองก็ยังไม่มีมือถือ เธอมองเวลาบนหน้าจอ--18:32。 พ่อเลิกงานตอนสามทุ่ม พิมพ์ภาก็เริ่มวิตก“พ่อฉันเลิกงานแล้วน่าจะมารับฉันนะ” พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีรถขับเข้ามาทางประตูโรงเรียนอยู่หลายคัน รถสปอร์ตสีเงินสุดเท่ห์ หักเลี้ยวแล้วจอดลงที่หน้าตึกเรียนของพวกเธอ รถคันแรกคือรถซูเปอร์คาร์ กระจกรถถูกลดลง เกวลินจึงได้เห็นใบหน้าของนรวิทย์ มือของเขาวางอยู่ที่พวงมาลัยรถ มองมาที่เกวลินอย่างขบขัน เกวลินก้มหน้าลง เพื่อหลบสายตาเขา พิมพ์ภารีบดึงเกวลินไปข้างหลัง ในใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับรปภ.กัน ถึงได้ให้คนกลุ่มนี้จากวิทยาลัยอโศกศิลย์ขับเข้ามาในโรงเรียนได้ เพียงอึดใจ ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากในตึก เป็นพรพิมนต์และเพื่อนสาวของเธอที่ลงมา  รถสปอร์ตที่ประเมินค่าไม่ได้ ทำให้เด็กสาวหลายคนตาวาว ต่างก็แย่งกันตะโกนทักทายทันที“สวัสดีนรวิทย์ อรุณเดท” อรุณเดทเลิกคิ้วขึ้น“สาวๆขึ้นรถเร็ว เดี๋ยวจะเปียกเอา” ผู้หญิงต่างแยกกันขึ้นรถไป พรพิมนต์นั่งอยู่บนรถของนรวิทย์ เท้าของนรวิทย์เหยียบอยู่ที่คลัตช์ ดวงตาดำเหลือบมองไปยังเด็กสาวที่หลบฝนอยู่ในมุมเงียบๆตรงนั้น ”คนทางนั้น...” เขายังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร“ขึ้นรถ จะไปส่งที่ป้ายรถให้” เกวลินเหลือบสายตาขึ้น เธอไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้สายตาเท่าไหร่ ใช้ไปนานๆก็เริ่มปวด แต่ในตอนที่ฟ้ามืดเช่นนี้ เธอจึงไม่ต้องหลับตาอีก เกวลินส่ายหน้า“ขอบคุณนะ แต่ไม่เป็นไร” “ขึ้นรถ อย่าให้ฉันพูดเป็นครั้งที่สาม” น้ำเสียงของเขาเหมือนกันจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เกวลินอ้าปากพะงาบๆ พรพิมนต์จึงต้องยื่นหน้าออกมา“เธอคือนักเรียนห้องหนึ่งที่ดวงตาไม่ดีคนนั้นใช่ไหม ขึ้นรถเถอะ” น้ำเสียงของเธอดูเป็นมิตร แต่แววตาดันไปอีกทาง อรุณเดทที่อยู่ด้านหลังก็เหม่อมองอย่างตกใจ พี่วิทย์ใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าอยากดูแลคนพิการจริงๆ เกวลินรู้จักนิสัยของนรวิทย์ดี ยิ่งต่อต้านเขายิ่งแรงกลับ เธอไม่ยอมขึ้นรถ เขาเองก็ไม่ยอมจากไปเช่นกัน ปีนี้นรวิทย์อายุสิบแปดปีแล้ว เขาโดนลดชั้น จึงอายุมากกว่าคนรุ่นเดียวกันหนึ่งปี และได้ใบขับขี่มาครอบครองแล้ว ทุกคนต่างมองมาที่พวกเธอ เกวลินและพิมพ์ภาจึงทำได้แค่ขึ้นรถนรวิทย์ไป พิมพ์ภาที่ปรกติจะพูดเยอะ ก็เงียบลงราวกับนกกระทาตัวน้อย ภายในรถนั้นเงียบมาก พรพิมนต์ก็รู้ว่านรวิทย์เป็นโรคชอบใช้ความรุนแรง จึงจะไม่ทำท่าที่อวดฉลาดเพื่อกระตุ้นเขาอย่างเด็ดขาด นรวิทย์ขับรถไป ชั่วครู่ก็มีเสียงที่นุ่มและหวานดังมาจากข้างหลัง“ลงที่ป้ายรถประจำทางข้างหน้านี่แหละค่ะ” น้ำเสียงนั้นหวานราวกับน้ำผึ้ง และเหมือนกับสายน้ำอ่อนๆของเมืองโบราณทางตอนใต้ที่เคยไปมาในตอนเด็ก แต่มันแฝงไปด้วยความเย็นชา นรวิทย์กำพวงมาลัยแน่น แล้วจู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา“เธอไม่ได้ตาบอดจริงๆนี่” เขากล่าวก่อนจะเหยียบคันเร่ง ป้ายรถประจำทางหายไปจากสายตาของพวกเธอ เกวลินเริ่มสับสน เธอคว้าไม้เท้าเนื้อแข็งขึ้นมา รู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว เธอไม่ได้แหย่เขาเลยนะ ทำไมเขาถึงทำตัวน่าเกลียดแบบนี้กัน เกวลินมองพิมพ์ภาที่อยู่ข้างกาย พิมพ์ภาไม่กล้าแย้งแม้แต่คำ หยอกล้อกับคนเป็นโรคชอบใช้ความรุนแรงมันน่ากลัวนี่ เป็นบ้าขึ้นมา...  คนกลุ่มหนึ่งมาลงรถที่เมืองแกน ฝนข้างนอกนั่นยังคงตกไม่หยุด เพียงกระพริบตาถนนที่เปียกก็ส่องประกาย ค่ำคืนมาเยือน ไฟในเมืองจึงสว่างขึ้น ตัวอักษรใหญ่ๆคำว่าเมืองแกนกระพริบด้วยไฟสีม่วง เกวลินลงมาหยุดยืนที่หน้าประตูรถ เมืองแกนห่างไกลจากบ้านเธอมาก เงินเรียกรถกลับบ้านต้องไปพอแน่ นรวิทย์ควงกุญแจกับนิ้วชี้“คุณนักเรียนม.ปลาย เข้าไปเที่ยวสิ” เขาตะโกนเรียกพวกเธอให้เข้าไปเที่ยว ไม่มีแม้แต่การข้อความคิดเห็นใดๆ การ์ดท่าทางกำยำที่หน้าประตูต่างก็รู้จักเขา ต่างโค้งคำนับแล้วตะโกนว่าคุณนรวิทย์ รอยยิ้มมุมปากของนรวิทย์ยังคงเย็นชา แขนของเขาตอนนี้ก็ยังปวดอยู่ ไม่ใช่ดูถูกพวกเขาหรือ อย่างนั้นก็มาเล่นด้วยกันหน่อย เกวลินเองก็รู้ว่าถ้าเขายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการเขาจะไม่หยุดเด็ดขาด จึงต้องเข้าไปพร้อมกับพิมพ์ภาเท่านั้น พรพิมนต์จ้องเกวลินอย่างสงสัย เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังเธอจึงกระซิบกับเธอว่า“พรพิมนต์เธอไม่ต้องกังวลไป เมื่อครู่ฉันถามอรุณเดทแล้ว เขาบอกว่ายัยตาบอดนั่นตีนรวิทย์เข้า แถมเป็นคนตาบอดที่น่าเกลียดก็เท่านั้น นรวิทย์ไม่สนใจเธอหรอก” สีหน้าของพรพิมนต์จึงดีขึ้นมา เทียบอากาศเย็นของฤดูใบไม้ร่วงกับของข้างนอก ในเมืองแกนอบอุ่นกว่ามาก เกวลินไม่เคยมาที่แบบนี้ ในความทรงจำ นรวิทย์ในสายตาของเธอนั้นมีแต่สิ่งดีดี เขาคอยตามตื๊อเธอ ไม่สนว่าเธอจะปฏิเสธเขาขนาดไหน ชีวิตก่อนเพื่อที่จะทำให้เธอใจอ่อน นรวิทย์ไม่เคยบังคับเธอมาที่เมืองแกนเลย ติดตั้งไฟเหลืองอ่อนๆ มีโซฟานุ่มสุดหรู บนโต๊ะนั้นมีเกมอยู่มากมาย ห้องส่วนตัวนั้นมีไมโครโฟน ไวน์แดง บิลเลียด มีครบทุกอย่าง บนโต๊ะมีกับข้าวและของหวานอยู่ คนทั้งกลุ่มต่างทานข้าวกันก่อน “พี่วิทย์ ชนแก้วกัน” นรวิทย์ชนแก้วกับเขา บนโต๊ะอาหารต่างครึกครื้น มีเพียงเกวลินและพิมพ์ภาที่ไม่ได้เข้าร่วมด้วย นรวิทย์มองไปที่เกวลิน เธอกำลังทานขนมอยู่ ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าเหม่ออยู่ แต่ก็ยังคงนั่งตัวตรง ผู้หญิงบนโต๊ะส่วนใหญ่จะชิมอย่างละนิดแล้วบอกว่าตัวเองอิ่มแล้ว เธออยู่เงียบๆ เมื่อพวกเขาเริ่มดื่มเหล้าเธอก็ทานไปถ้วยหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นจึงวางตะเกียบลง และไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างของเธอดูสง่างาม ทำให้คนรู้สึกอิจฉา และอยากจะทำลาย นรวิทย์แสยะยิ้มขึ้น“มาเล่นเกมกัน แพ้โดนลงโทษ” แค่เขาพูด ทุกคนต่างก็บอกว่ามันดี เป็นเกมง่ายๆ เป็นเกมนับเลข หมุนถึงเลขเจ็ดหรือตัวที่คูณด้วยเลขเจ็ดให้ปรบมือ มันจะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ นรวิทย์เหลือบมองเกวลิน คำนวณที่นั่งของเธอเสร็จสรรพ แล้วบอกของตัวเองคือสิบหก ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังรีบปรบมือ เมื่อถึงตาของเกวลิน เธอคงจะเป็นยี่สิบเอ็ด แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองก็ต้องเข้าร่วมเล่นเกมนี้ด้วยเช่นกัน นรวิทย์จุดไฟบุหรี่ พิงกับพนักพิงหลัง“คุณนักเรียนม.ปลาย หยิบบทลงโทษด้วย” ข้างๆกันมีกล่องใบใหญ่วางอยู่ เกวลินกล่าวเสียงเบา“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองต้องเล่นด้วย” เธอลังเล ท่ามกลางสายตาของทุกคน เธอปรบมือเบาๆ“แบบนี้นับว่าได้ไหม” ทั้งห้องต่างเงียบไป ทันใดนั้นอรุณเดทก็หัวเราะขึ้นมา“ตลกฉิบหาย” ใครมันจะช้าไปหลายนาทีแล้วค่อยปรบมือกัน พรพิมนต์ พวกเธอเองก็หัวเราะไม่หยุด ดรุนนีจ้องมองนรวิทย์ ท่ามกลางควันบุหรี่นั่น แววตาของนรวิทย์ทอประกายขบขันอยู่ “ไม่ได้ ไปจับกระดาษลงโทษโน่นเลย เล่นไม่เป็นหรือไงกัน” เกวลินหน้าแดง เธอเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ปรบมือไปนั้นมันน่าขำขนาดไหน เธอมองออกว่านรวิทย์กำลังเล่นเธอ และยังไม่ได้รามือจากเธอ เธอลังเล แต่สุดท้ายก็จับขึ้นมาหนึ่งใบท่ามกลางเสียงเชียร์ของพวกเขา เกวลินมองเห็นตัวอักษรได้อย่างชัดเจน จึงชะงักไปอึดใจ ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆจึงขโมยไปอ่านแทน“ให้จ้องตากับเพศตรงข้ามในกลุ่มคนใดก็ได้เป็นเวลาสิบวินาที” ทุกคน ณ ที่นั้นต่างก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เกวลิน เธอเป็นคนตาบอด เกมที่น่ารักแบบนี้เล่นกับใครก็รู้สึกว่าน่ากลัวทั้งนั้น อรุณเดทเมื่อเห็นว่าเธอเลือกไม่ถูกว่าจะมองไปทางไหน“บัดซบ บัดซบ เธออย่ามองมาทางนี้นะเว้ย” ทุกคนต่างขำจนไหล่สั่น ดวงตาของพิมพ์ภาเริ่มแดงก่ำ มองออกว่าตัวเองและลินกำลังถูกทำให้อับอาย เธอขบฟันแน่น“พวกเธอแกล้งกันแรงไปแล้วนะ” นรวิทย์เหลือบมองไป พิมพ์ภากลัวจนต้องปิดปาก นรวิทย์มือวางอยู่ที่โซฟา จงใจกางขาออกกว้างๆ แล้ววางบุหรี่ตรงที่เขี่ยบุหรี่“มานี่มาคุณนักเรียน พวกมันกลัวเธอ ก็เหลือแค่ฉันแล้ว” เกวลินไม่รู้เหมือนกันว่าใครดันเธอไป เธอหันกลับไป พวกผู้หญิงต่างก็ปิดปากขำกันอยู่ มีเพียงแค่พิมนต์ที่สีหน้าเริ่มย่ำแย่ เกวลินรู้ว่าถ้าวันนี้ทำให้นรวิทย์รามือจากเธอไปไม่ได้ เธอไม่ได้กลับบ้านแน่ เธอเดินเข้าไปอย่างช้าๆ แล้วนั่งลงที่ข้างๆเขา นรวิทย์ได้กลิ่นอีกแล้ว กลิ่นที่สง่างามและบริสุทธิ์ที่มาหลังฝนตก เธอรู้สึกอึดอัด ท่ามกลางเสียงโวยวายที่ดังนั้น เสียงที่อ่อนและหวานก็ดังแทรกขึ้นมา“ตาของฉันไม่ดี ขอใส่แว่นดำได้ไหม” เขาตอบกลับอย่างไวว่าได้ แล้วจ้องมองดวงตาสีหมึกคู่นั้นที่ถูกซ่อนไว้อยู่ เลนส์ของเธออยู่ใกล้ จึงเห็นรูปร่างตาของเธอได้อย่างชัดเจน จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้อย่างไรดี เหมือนกับภูเขาสีทึบ เมฆหลังฝน แค่สังเกตรูปร่างของมัน ก็จะได้เห็นความงามที่ซ่อนอยู่ สิบวินาทีสำหรับเกวลินถือว่ายากมาก เธอกำลังจ้องกับแสง เพราะรู้สึกปวดที่ตา จึงได้เห็นประกายสะท้อนของน้ำ เมื่อถึงสิบวินาที เกวลินเดินออกมาอย่างไว พิมพ์ภาใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว อรุณเดทอยู่ใกล้ๆ รู้ชัดแล้วว่าไม่สามารถแกล้งสองสาวจากโรงเรียนครีสเตียนพยารามได้อีก ถามนรวิทย์เสียงเบา“พี่วิทย์ รู้สึกอย่างไรบ้าง น่ากลัวไหม” นรวิทย์รู้สึกรำคาญขึ้นมา แล้วผลักเขาออกห่าง“ออกไปห่างๆ” เขาลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหลายก้าว“ยืนขึ้น จะไปส่งเธอกลับบ้าน” อย่าร้องสิ ไม่ได้จะฆ่าเธอเสียหน่อย
已经是最新一章了
加载中