บทที่ 30 ดีที่ทักษะบนเตียง2   1/    
已经是第一章了
บทที่ 30 ดีที่ทักษะบนเตียง2
บ๗ที่ 30 ดีที่ทักษะบนเตียง2 * ลากร่างกายที่หมดเรี่ยวแรงใกล้จะล้มลงไปกองที่พื้น กู้ฮอนกลับมาถึงบ้าน ตอนนี้ หยูฟืน กับเฉิงเฉิงก็ตื่นนอนแล้ว ทันทีที่เปิดประตู กู้ฮอนก็เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของลูกชาย จ้องมาที่เธอ เธอเหนื่อยมากจนทรุดตัวลงไปนอนบนโซฟา กระดิกนิ้วไปทางหนุ่มน้อย “มานี่” เฉิงเฉิงเดินไปอย่างเชื่อฟัง สีหน้านิ่งสงบ กู้ฮอนมองลูกชายด้านบนด้านล่าง ด้านซ้ายด้านขวา ด้านหน้าด้านหลัง ด้านในด้านนอก คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น หายใจก็ยิ่งลำบากมากขึ้น ทำยังไงดี เธอรู้สึกว่าลูกชายของตัวเองกับเป่หมิงโม่ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกันขึ้นเรื่อยๆ... ... นี่ต้องเป็นฝันร้ายแน่ๆ! “หยางหยาง มานี่ บอกแม่หน่อย ว่าทำไมต้องพูดโกหกกับแม่ หา?” ร่างเฉิงเฉิงที่ยังคงสงบ ไม่ขยับแม้แต่น้อย แค่ตอบอย่างแผ่วเบาไปว่า “คุณแม่ หยางหยางไม่ได้พูดโกหกกับคุณเลยนะ” “ไม่ได้พูดหรอ? ถนนตะวันออกของสมเด็จพระราชินีเลขที่189 ไม่ใช่ร้านขายเครื่องเขียนสักหน่อย ทำไมหนูต้องพูดโกหกด้วย? แล้วก็ดึกดึกดื่นดื่นให้แม่ไปซื้อดินสอสี หมายความว่ายังไง? และที่สำคัญสุดๆ ก็คือ----หนูรู้ได้ยังไงว่าเจ้านายของแม่จะอยู่ที่นั่น?” กู้ฮอนมีข้อสงสัยมากมายที่แก้ไม่ได้ในหัว ดังนั้นจึงถามออกมาเป็นกอง เธอโอบลูกชายไว้ อยากจะหาเบาะแสจากดวงตาที่สดใสของลูกชาย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ถอนหายใจยาว เธอกอดหนุ่มน้อยไว้ “หยางหยาง บอกแม่มา ว่ามีเรื่องอะไรปิดบังแม่อยู่ ได้ไหม?” เฉิงเฉิงยังคงส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย “คุณแม่ฟังผิดแล้ว เป็นร้านเครื่องเขียนที่ ถนนวังโจวตะวันออกเลขที่189 หยางหยางไม่มีดินสอสีเหลือแล้วจริงๆ ดังนั้นถึงได้ขอให้คุณแม่ไปซื้อ ก็แค่... ...หยางหยางก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ดึกดึกดื่นดื่นร้านเครื่องเขียนนั้นไปเปิด” คำพูดของเฉิงเฉิงไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคุณแม่จะต้องถามเขาแบบนี้ อันที่จริงเขาก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนคุณพ่อจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ก็แค่จำได้ว่าตอนเด็กๆมีหลายครั้งที่เขามักจะงอแงให้คุณลุงฉิงฮัวพาเขาไปหาคุณพ่อ แน่นอนว่าผลสุดท้าย พ่อเขาก็ไม่ลงจากอาคารมาเลยแม้แต่น้อย แค่โทรกริ๊งเดียวก็ให้ฉิงฮัวพาเขาไปซะแล้ว ถนนวังโจวตะวันออกเลขที่189 ก็มีร้านเครื่องเขียนอยู่ร้านหนึ่งจริงๆ นั่นคือสถานที่ที่เขามาพบในภายหลัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกครั้งตอนที่เขาอยากจะไปหาพ่อ ก็จะให้คนขับรถพาเขาไปที่ร้านเครื่องเขียนนั้น จากนั้นภายใต้สายตาของเจ้าของร้านเขาก็จะซื้อกล่องดินสอสีมากมายหลายกล่องก่อนที่จะพอใจและออกจากร้านไป ตอนนี้ ที่บ้านของเขามีกล่องดินสอสีแต้มตู้ไปหมดแล้ว ทุกครั้งที่ซื้อมา ก็จะล็อคไว้ ราวกับว่าล็อคความรู้สึกทั้งหมดที่คิดถึงพ่อเอาไว้ นี่ก็คือวันเวลานิดๆหน่อยๆที่มีคุณพ่ออยู่ และได้สะสมไว้ในใจของเฉิงเฉิง ไม่ขม แต่มันกลับรู้สึกเปรียวๆ ตอนที่เฉิงเฉิงพูดประโยคนี้ ท่าทางเชื่อฟัง ไม่เอะอะเสียงดัง ทำให้กู้ฮอนรู้สึกละอายใจ “อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง!” กู้ฮอนกอดลูกแน่น “ขอโทษนะลูกรัก แม่ไม่ควรสงสัยหนูเลย... ...หนูเป็นลูกชายของแม่นะ จะพูดโกหกกับแม่ได้ยังไงเนาะ? แม่คนจะหงุดหงิดมากไปหน่อย แม่ขอโทษหนูดีไหม?” เธอลูบหัวเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน และถูร่างเล็กอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นไหลเวียนเข้าไปภายในใจของเฉิงเฉิง เขาพยายามกะพริบตาอย่างหนัก อยากจะให้ของเหลวที่เปียกชื้นไหลออกมานอกดวงตานั้นไหลย้อนกลับเข้าไป เพราะคุณปู่เคยบอกไว้ว่า ลูกผู้ชายนั้นห้ามร้องไห้ออกมาเด็ดขาด “คุณแม่ครับ... ...” น้ำเสียงของเฉิงเฉิงเงียบหายไป กลัวว่าตัวเองจะควบคุมความสงบไว้ไม่อยู่ ก่อนที่จะร้องไห้ออกมา หัวของเขาก็ทรุดเข้าไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นของกู้ฮอนแล้ว ทันใดนั้นหยูฟืน ก็เดินออกมาจากห้องครัว ถามอย่างไม่ตั้งใจ “ฮอนฮอน เมื่อเช้าหยางหยางบอกว่าเธอออกไปหาเพื่อนร่วมงาน หาเจอหรือยัง?” “หาเจอแล้ว นั่นนะตะเกียงดับมืดบอด พลิกไปพลิกมาทำคนยุ่งยากสับสน มีเจ้านายแบบนี้ช่างเป็นความโชคร้ายจริงๆเลย รับใช้ยากซะยิ่งกว่าพระราชาในสมัยก่องเสียอีก ... ...ฉันนะ ก็เป็นแค่ขันทีตัวน้อย ที่เหมือนปลาบนเขียง ไม่เพียงต้องดูแลเรื่องงานของเขา ยังต้องช่วยแก้ปัญหาเรื่องส่วนตัวของเขาอีกด้วย ฉันนะก็คือ 《เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน》เวอร์ชั่นปัจจุบันไง... ...” เมื่อกู้ฮอนพูดถึงเป่หมิงโม่ ก็อารมณ์เสียขึ้นมาเต็มกระเพาะ หลังจากที่หยูฟืน ฟังคำพูดนี้จบ ก็อดไม่ได้ที่พูด “เธอควรจะแอบยิ้มนะ ในเรื่อง《เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน》ที่น่าสังเวชส่วนใหญ่ก็เป็นนางใน นางสนม ท่านอ๋อง บลา บลา บลา ขันทีอย่างเธอน่าสังเวชที่ไหนกัน” “โอ๊ยแม่ ขันทีไม่น่าสังเวชหรอ ถูกตัดหัวได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะถูกเจ้านายหัวหมูพวกนั้นลากมาเกี่ยวด้วยหรอ... ...” “เฮอ เฮอ เฮอ ... ...” * บ้านใหญ่ตระกูลเป่หมิง ดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นเพิ่งจะลอยขึ้นมา ผืนแผ่นดินก็เพิ่งจะยืดเส้นยืดสาย ในสวนที่หรูหราหน้าบ้านของตระกูลเป่หมิง ก็เริ่มจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว “โฮ่งโฮ่งโฮ่ง... ...” เสียงเห่าของสุนัขไม่กี่ครั้ง ทำลายความเงียบสงบบนท้องฟ้าของบ้านลง “อาวู่วู่... ...โฮ่งโฮ่ง... ...โฮ่ง... ...” เสียงเห่าของสุนัขนั้น ทั้งโกรธเคืองและเป็นทุกข์ ทั้งร่างและกระดูกเริ่มสั่นไหวไปตามลม สั่นไหวไปเรื่อยๆ... ... จากนั้น เสียงที่ไร้เดียงสอของเด็กก็ดังขึ้น จากด้านในบ้านยาวไปถึงลานที่สวน---- “เจ้าโง่เชี่ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ... ...” “อาวู่วู่... ...โฮ่งโฮ่ง... ...” ถูกดึงลากไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง หงื่อหงื่อหงื่อ นี่ไม่มีใครได้ยินเลยหรอว่ามันกำลังร้องขอชีวิตอยู่? “จะวิงไปไหน! กลับมานะ!” ด้านหลังของเบลล่า ร่างของหยางหยางกำลังไล่ตามอยู่ วิ่งไล่ตามไปด้วยและยังตะโกนไปด้วย “โฮ่งโฮ่ง... ...” เบลล่าเหลียวกลับไปมองหยางหยาง โดยเฉพาะตอนที่เห็นสิ่งที่ชูขึ้นมาจากมือของหยางหยาง เบลล่าตกใจกลัวจนสะเทือนไปทั่วร่าง กางขาวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายเบลล่าตกใจเกินไป วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว หัวก็ไปชนเข้ากับเสาของกำแพง! “อาวู่----” เสียงร้องอย่างน่าสังเวช มีดาวลอยขึ้นตาของเบลล่าไปชั่วขณะ ร่างกายสั่นสะเทือนไปสองครั้ง ล้มลงกองที่พื้นอย่างหมดแรง ในเวลานั้น พวกสาวใช้ที่ผ่านมาแอบหัวเราะอย่างลับๆ แต่ไม่มีใครกล้าเดินออกมาช่วยเบลล่า หยางหยางวิ่งตามมาอย่างหอบหอบ มองดูเบลล่าที่หัวโขกจนวิงเวียนไปหมด 
已经是最新一章了
加载中