ตอนที่ 7 ค้านงานแต่ง
1/
ตอนที่ 7 ค้านงานแต่ง
แม่ทัพผู้เลิศล้นของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 7 ค้านงานแต่ง
ตอนที่ 7 ค้านงานแต่ง จ้าวชิงหยิงเดินผ่านหน้าต่าง บังเอิญได้ยินอ๋องเย่พูด เรื่องกำหนดวิวาห์ในเดือนหน้าของโจวเฉินทั่นและหลิวอ้าย เดิมทีจ้าวชิงหยิงคิดว่าตนเองไม่ใส่ใจแล้ว ทว่าได้ยินประโยคนี้เข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยังคงแข็งทื่ออยู่เล็กน้อย เดือนสิบสองนางตายลงด้วยตรอมใจ นี่เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน โจวเฉินทั่นก็ต้องการจะแต่งคนใหม่แล้ว ดีร้ายนางก็เป็นถึงพระเจ้าหลานเธอคนโตของตำหนักยินโก๋กง โจวเฉินทั่นมิชอบนาง จ้าวชิงหยิงยอมรับแล้ว ทว่าตำหนักยินโก๋กงเล่า บิดามารดาและท่านยายของนางเล่า ก็ปล่อยให้โจวเฉินทั่นทำเช่นนี้ บางทีพวกเขาอาจกระตือรือร้นให้หลิวอ้ายแต่งเข้าบ้านโดยเร็ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายการสมรสเชื่อมสัมพันธ์อันเป็นมาไม่ง่ายดายของจวนอ๋องเย่และตำหนักยินโก๋กง เนื่องจากความล้มเหลวของซูซิ้ว จ้าวชิงหยิงรู้สึกถึงความแสบร้อนปรายตาในทันใด มารดาเว่ยชื่อของนางลาโลกไปในปีนั้นที่นางอายุสิบปี ต่อมาจ้าวชิงหยิงเวลาครึ่งค่อนปีของจ้าวชิงหยิงล้วนพำนักอยู่ในตำหนักองค์หญิงของพระอัยกี นางคิดว่านางเฉยเมยต่อญาติของตนเองอย่างมากแล้ว ระหว่างคนในครอบครัวเองก็ยังต้องการข้อผูกมัด ในเมื่อยินโก๋กงซือจื่อไม่โปรดปรานบุตรีในมเหสีเช่นนาง เช่นนั้นนางเองก็จะไม่พึ่งพาเขาไม่เคารพเขา เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ทว่าไฉนพวกเขาจึงสามารถเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนางเช่นนี้กันเล่า เพียงเพราะนางตายไปแล้ว ไม่อาจรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อีก ในบ้านก็ไร้มารดารับหน้าให้นาง ดังนั้น จึงทำไปอย่างไร้ยางอายเช่นนี้หรือ เช่นนั้นก็ยังคงทำให้พวกเขาผิดหวังเสียแล้ว นางยังไม่ได้ตายจาก ซ้ำยังหวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง องครักษ์ด้านนอกห้องอักษรมองเห็นจ้าวชิงหยิงแล้ว บทสนทนาเสียงแผ่วภายในห้องอักษรก็ชะงักลงชั่วขณะ จ้าวชิงหยิงพยายามปรับสีหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปพลางยิ้ม “รัชทายาทอ๋องเย่อยู่หรือไม่” องครักษ์ยังไม่ทันได้ตอบกลับ น้ำเสียงขึงขังทุ่มต่ำของโจวห้าวหรันก็ดังลอยมาจากด้านในห้อง “ให้นางเข้ามา” จ้าวชิงหยิงเข้าห้อง มองเห็นโจวม่าวเฉินยืนอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าต่ำ ท่าทางดูแล้วไม่เป็นธรรมชาติ บางที สนทนาถึงซื่อจื่อของตนเอง โจวม่าวเฉินผู้เป็นคนสนิทชิดเชื้อเหล่านี้ ก็ไม่เหมาะจะพูดมากเกินไป โจวม่าวเฉินก้มหน้าต่ำไม่เอ่ยคำ อ๋องเย่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเมตตา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถหน้าใหญ่ใจโตมาบ่งบอกเรื่องภายในครอบครัวของอ๋องเย่ ซื่อจื่อมีบิดาเยี่ยงอ๋องเย่เช่นนี้ นับแต่เล็กก็มีชีวิตสุขสบาย ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่การแต่งชายาซื่อจื่อคนใหม่ก็เท่านั้น มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด อ๋องเย่ไม่พึงพอใจได้ แต่พวกเขาทำไม่ได้ ในทรวงของจ้าวชิงหยิงเก็บรักษาการพูดโดยไม่แสดงความประสงค์ดีร้าย ก่อนเอ่ยถามอย่างจงใจ “รัชทายาทอ๋องเย่ ลุงโจว เมื่อครู่พวกท่านกำลังพูดอะไร ผู้ใดจะสมรสแล้ว” โจวม่าวเฉินเหลียวมองโจวห้าวหรันแวบหนึ่ง พบว่าอ๋องเย่ไม่ได้มีท่าทีห้ามปราม จึงอธิบายต่อจ้าวชิงหยิง “เป็นบุตรโทนของอ๋องเย่ ซื่อจื่อในจวนอ๋องเย่ของพวกเรา จะแต่งชายาซื่อจื่อแล้ว” “โอ้ เป็นชายาซื่อจื่อคนแรกหรือ สามีภรรยาวัยหนุ่ม ช่างน่ายินดีเสียจริงๆ” โจวม่าวเฉินมีสีหน้าอึดอัดใจ “เป็นการแต่งรับช่วงต่อ” โจวม่าวเฉินแฝงความอึกอักในการอธิบายต่อจ้าวชิงหยิง จ้าวชิงหยิงเองก็เสแสร้งแกล้งฟัง พวกเขาสองคนล้วนไม่ได้คาดเดาถึง โจวห้าวหรันมองจ้าวชิงหยิงด้วยแววตาอ่อนแรงแวบหนึ่ง ตาคู่นั้นสำรวจมองครู่หนึ่งและเลื่อนผ่านไป ก่อนจะแปรเปลี่ยนลับไป ทว่าท่ามกลางแววตานั้นกลับแฝงการไต่สวนและความหยั่งรู้อันลึกซึ้ง คนทั่วไปได้ยินเรื่องงานวิวาห์ มิอาจคิดการไปถึงสถานะชายาคนแรกหรือไม่ ทว่าจ้าวชิงหยิงกลับถามเช่นนี้ ราวกับรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าไม่ใช่ชายาคนแรก โจวห้าวหรันมองเพียงแวบเดียวก็ละสายตา บนเค้าหน้ายังคงบึ้งตึงไม่ยินดี อีกด้านจ้าวชิงหยิงที่ในที่สุดก็ “ฟังเข้าใจ” ถึงสถานการณ์ของอ๋องเย่แล้ว ก็กล่าวทอดถอนใจ “ที่แท้คุณชายสูงศักดิ์จะแต่งสืบช่วงแล้ว นี่ช่างนอกเหนือความคาดหมายเสียจริง คุณชายสูงศักดิ์อายุมากแล้วหรือ อ๋องเย่หนุ่มแน่นเช่นนี้ ข้าคิดว่าซื่อจื่อเองก็ไม่น่าจะอายุมากนัก” เดิมทีโจวห้าวหรันกำลังคิดเรื่องราวเมื่อสักครู่ ได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็อดแย้มยิ้มบางไม่ได้ มองทางจ้าวชิงหยิงเปื้อนยิ้ม “คำชมเชยนี้ของเจ้าช่างโจ่งแจ้งนัก ไปฝึกฝนอีกสักหน่อยค่อยนำออกมาใช้ดีกว่ากระมัง” จ้าวชิงหยิงเก็บหัวใจอันฟุ้งซ่าน ตอนนี้นางถูกอดีตพ่อสามีจับได้ บนใบหน้าเองก็หลบเลี่ยงไม่พ้น ดวงตานางล่อกแล่ก จ้องโจวห้าวหรันอย่างไม่สบใจแวบหนึ่ง “สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ลุงโจว ท่านว่าอย่างไรบ้าง” โจวม่าวเฉินขนลุกซู่ทั้งกาย เขาหน้าเจื่อน บังคับตนเองให้พยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านอ๋องยังหนุ่มเรี่ยวแรงแน่น ซื่อจื่อเองก็ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” โจวห้าวหรันหัวเราะเบาๆ บรรยากาศภายในห้องขณะนั้นก็ผ่อนคลายลงหลายขนัด อารมณ์ของโจวห้าวหรันดีขึ้นมากโข โจวม่าวเฉินทอดถอนใจเฮือกยาวในทรวง คราวนี้จึงกล้าเอ่ยคำ “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อตั้งใจเขียนจดหมายมาโดยเฉพาะ คงอยากให้ท่านกลับไปร่วมงานวิวาห์ คราวที่แล้วพวกเราแก้ภัยอลหม่านอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือ กลับไม่ทันจริงๆ ถึงแม้ซื่อจื่อไม่พูด แต่จะต้องตั้งตารอท่านอยู่เป็นแน่ คราวนี้มีโอกาสอย่างไม่ง่ายดายนัก...ท่านอ๋อง ข้าน้อยรู้ว่าท่านไม่พอใจกับงานวิวาห์ครั้งนี้ แต่ว่าเรื่องก็มีถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรเสียซื่อจื่อก็ชื่นชอบ...” จ้าวชิงหยิงได้ยินประโยคนี้ก็อดอาฆาตแค้นไม่ได้ “ดูท่าข้ายังมีความรู้น้อยนัก อ๋องเย่ออกรบก็เป็นเพียงแค่เรื่องในปีสองปีนี้กระมัง พลาดการแต่งงานครั้งแรกของซื่อจื่อ อย่างไรก็ยังทันงานครั้งที่สอง” โจวม่าวเฉินถูกประโยคนี้ของจ้าวชิงหยิงระงับไว้จนพูดไม่ออก สีหน้าของโจวม่าวเฉินเรื่อแดง โจวห้าวหรันกลับไม่ได้หัวเสียสักนิด กลับยังยิ้มและมองทางจ้าวชิงหยิง “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเห็นโจวเฉินทั่นเป็นศัตรู แม้แต่งานแต่งงานของเขาเองก็ไม่ได้มีแววดี เจ้าน่าจะยังไม่รู้จักกับเขากระมัง” ในใจของจ้าวชิงหยิงสะพรั่น กลางอกของนางข่มอกข่มใจมาโดยตลอด นางลืมไปได้อย่างไรกัน บุคคลตรงหน้าผู้นี้คืออ๋องเย่ที่มีอำนาจทั่วทิศ แต่ว่านางกลับเผยอารมณ์ในคำพูดออกมา ท้ายสุดถูกเขาจับได้จนได้ ดีร้ายจ้าวชิงหยิงเองก็เคยเป็นนายหญิงในบ้านนี้มาก่อน สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยน จงใจเผยท่าทีแน่นิ่งออกมา “ข้าย่อมเห็นเขาเป็นศัตรูแน่แล้ว ท่านพูดว่าจะหาหลักปักฐานให้ข้าก่อนอันดับแรก จากนั้นค่อยกลับสู่เมืองหลวงแท้ๆ ทว่าตอนนี้จดหมายฉบับเดียวของเขาก็จะดึงตัวท่านไปเสียแล้ว ข้าจะทำอย่างไรเล่า” หลักการนี้สมเหตุสมผล โจวห้าวหรันยอมรับ เขาแย้มยิ้มเบาบาง หัวใจทั้งดวงของโจวม่าวเฉินระส่ำระสาย ช่วงเวลานี้ถูกทำให้ขวัญเสียมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้เขามองยังแววตาของจ้าวชิงหยิงได้มีแววจำเพราะผิดวิสัย สรุปว่าเป็นผู้ไม่รู้ความหรือว่าเป็นเคราะห์ดีของเด็กสาวคนนี้ อาจหาญเอ่ยคำเยี่ยงนี้ต่ออ๋องเย่ ที่น่าแปลกใจสุดชีวิตก็คืออ๋องเย่เองกลับไม่ได้หัวเสีย โจวม่าวเฉินสะเทือนใจอยู่สักพัก จากนั้นก็ละสายตา ยังคงนึกอยากลองดูอีกครั้ง “ท่านอ๋อง เรื่องของซื่อจื่อ...” “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะไม่กลับไป” โจวห้าวหรันวางพู่กันเอาไว้บนโต๊ะ ทั้งที่สีหน้าของเขาไม่แปรเปลี่ยน ภายในห้องกลับมีอายเย็นเยียบกำเนิดขึ้นกะทันหัน “ชายาแรกลาด้วยโรคยังไม่ทันเดือน เขากลับนึกจะแต่งงานใหม่ งานวิวาห์ยังกำหนดขึ้นในเดือนยี่ปีนี้อีก เขาทำเช่นนี้เคยนึกถึงความคิดขององค์หญิงโชว่คังบ้างหรือไม่ คนก็โตจนป่านนี้แล้ว ยังไร้เดียงสาตาขาวเช่นนี้อีก” โจวม่าวเฉินพยายามจะแก้ต่างแก่โจวเฉินทั่น “ซื่อจื่อยังเด็กนัก จะสามารถเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างไร...” “ยังเด็ก? ปีนี้เขาก็สิบเจ็ดเข้าให้แล้ว ตอนข้าอายุสิบเจ็ดนั้น ก็ได้รับขึ้นตำแหน่งอ๋องเย่ รับช่วงต่อใสจวนอ๋องเย่ทั้งหมด เจ้าดูเขาอีกที ตอนนี้ทำสิ่งเหล่าใดไปบ้างแล้ว” และนั่นเองโจวม่าวเฉินก็ไร้คำจะเอ่ย อันที่จริงไม่ว่าจะอยู่บ้านผู้ใด อายุสิบเจ็ดปีก็เป็นช่วงอายุที่ครึ่งค่อนผู้ใหญ่แล้วเชียว ยิ่งไม่ต้องถกเถียงว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์แห่งเมืองหลวง ประจวบกับที่เป็นหนุ่มเจ้าสำราญมากสตรีชมชอบ ทว่าใครใช้ให้บิดาของซื่อจื่อ อ๋องเย่โจวห้าวหรันมีชื่อเสียง รุ่งโรจน์เร็วเกินไป โจวห้าวหรันอายุสิบห้าก็ออกสนามรบ สิบหกปีก็เรืองชื่ออย่างงดงาม นับแต่บัดนั้นมา ชื่อเสียงของเขาก็กึกก้องไปทางเหนือ กาลต่อมาอายุสิบเจ็ดก็ได้กลายเป็นท่านอ๋องที่อายุน้อยที่สุดในประวัติการณ์ ยี่สิบป้าก็กลายเป็นแม่ทัพทหาร กลายเป็นขุนนางนัดดาที่ฮ่องเต้องค์ก่อนไว้วางใจที่สุด รอจนยี่สิบเจ็ดปีก็อุทิศตนแก่จักรพรรดิ อายุยี่สิบเก้ากลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จนกระทั่งปัจจุบัน อ๋องเย่มีอายุเพียงสามสิบสามปีเท่านั้น แต่มีชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วหล้า ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ภายใต้รัศมีของบิดา โจวเฉินทั่นก็ยิ่งดูเลื่อนลอยเหลือเกินอย่างเห็นได้ชัด การแสดงออกในหลายปีนี้ของโจวเฉินทั่นน่าทึ่ง หากอยู่ในหมู่คนหนุ่มเมืองหลวง ก็ถือเป็นหนึ่งในหัวกะทิ แต่ว่าเมื่อเทียบกับบิดา เช่นนั้นก็เห็นว่าไม่เพียงพอแล้ว ด้วยเหตุนี้โจวห้าวหรันจึงไม่พึงพอใจต่อโจวเฉินทั่น โจวม่าวเฉินไร้น้ำคำ จ้าวชิงหยิงได้ยินว่าอ๋องเย่จะไม่กลับไปร่วมงานวิวาห์ของโจวเฉินทั่นกับหลิวอ้าย นางเกือบจะกลั้นหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยู่บนเส้นทางแท้ๆ แต่กลับเลี่ยงไม่ไป นี่เป็นคนละเรื่องกับเนื่องจากออกศึกจึงกลับมาไม่ทันไปเลย จ้าวชิงหยิงรีบก้มหน้างุดซ่อนความสะใจของตนเองเอาไว้ แต่โจวม่าวเฉินเป็นขุนนางผู้มีใจภักดี อดไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยเตือนหลายประโยค “ท่านอ๋อง ข้าน้อยทราบว่าท่านมีความหวังต่อซื่อจื่อสูงนัก แต่อย่างไรซื่อจื่อก็ยังเด็ก เขาไม่เหมือนพวกเรา ตะเกียกตะกายอยู่ท่ามกลางกัลป์ศึก ถูกฝึกฝนร่างกายให้ขมีขมันดุจเหล็กแต่เนิ่นๆ ซื่อจื่อล้วนพึ่งบารมีท่าน น่าเสียดายที่เนื่องจากเรื่องศึกเวลาร่วมกันจึงน้อยไกลกันเสียมาก ครั้งนี้กลับเมืองหลวงก็ยากจะมีเวลาร่วมกันกับซื่อจื่อยาวนาน ต่อให้ท่านไม่พึงใจ ก็ต้องค่อยๆ พูดจากับซื่อจื่อ” โจวห้าวหรันฟังจบก็ไม่ได้มีอากัปกิริยาใด ไม่เอ่ยคำและไม่ได้สีท่าทีเดือดดาล อย่างไรก็ตามสีหน้าเช่นนี้ก็ยังดูน่ากลัวกว่าโกรธเคืองอยู่มาก โจวม่าวเฉินไม่กล้าเอ่ยคำ มองทางจ้าวชิงหยิงอย่างขอความช่วยเหลือ “คุณหนูหลิน ท่านพูดอะไรเสียหน่อย” จ้าวชิงหยิงแอบเย็นในใจ ให้นางออกหน้าแทน? อดีตสามีกับน้องสาวคนรองกำลังจะแต่งงานกัน คาดหวังว่านางผู้เป็นพี่สาวคนนี้จะอวยพรแด่ความรักจริงของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด ตอนนี้บิดาของโจวเฉินทั่น พ่อสามีในอนาคตของหลิวอ้ายอยู่ต่อหน้าแล้ว จ้าวชิงหยิงไม่ฉวยโอกาสนี้มอบโอสถสวรรค์แก่พวกเขาได้ประจักษ์สักหน่อย นางก็มีชีวิตอย่างไร้ค่าแล้ว “รัชทายาทอ๋องเย่ ท่านทำถูก บุตรทำผิดก็ต้องลงโทษ ไม่อาจทำให้เขาชิน เขาก็โตจนป่านนี้แล้ว อะไรที่รับได้รับไม่ได้ ออกจากบารมีของท่าน เขาจะอดกลั้นไม่ฟังความหรือ” โจวม่าวเฉินมองจ้างชิงหยิงอย่างตื่นตระหนก ส่วนโจวห้าวหรันก็อดกลั้น แต่ยังคงกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “เจ้าชิงชังเขาจริงๆ เอาเถิด ฟังเจ้าว่า ครั้งนี้จะไม่ยอมอ่อนข้อ แต่ว่าเหตุใดเด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าจึงได้เป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ เจ้าอ่อนกว่าโจวเฉินทั่นปีเดียว คำพูดคำจากลับดูเหมือนรุ่นแก่กว่าเขาอย่างไรอย่างนั้น” จ้าวชิงหยิงถูกเรียกว่า “เด็กตัวน้อยๆ” เดิมทีนางไม่เบิกบานนัก แต่เห็นว่าท่าทางอันหนักอึ้งของคนรอบข้าง ก็คาดคะเนได้ว่าการที่อ๋องเย่ยิ้มนั้นหาได้มาก อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าต่อจากนี้ก็ไม่อาจเป็นเรื่องใหญ่ จ้าวชิงหยิงยัดเยียดความผิดให้แก่โจวเฉินทั่น ในใจของนางไม่ยอมเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจโลภเกินเหตุ อ๋องเย่มีบุญคุณต่อนาง หากนางยั่วยุต่อไปก็น่าเบื่อเกินไปแล้ว โจวห้าวหรันเห็นว่าจ้าวชิงหยิงมีท่าทีไม่ใคร่ยินดี ยิ่งรู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้สดใหม่จริงๆ มากขึ้นเรื่อยๆ กับคนที่ถูกหล่อหลอมเป็นที่เรียบร้อยเช่นเขาก็ราวกับว่าจะเป็นโลกสองใบ โจวห้าวหรันไม่ใคร่จะทำให้นางลำบากอีก จึงกล่าวถาม “เมื่อครู่ยังไม่ทันถาม เจ้าเข้ามาทำอะไร” จ้าวชิงหยิงราวกับลืมเรื่องอันนี้ไปแล้ว นางกล่าวอย่างร้อนรน “ข้ามาขอบพระคุณท่านอ๋องเย่โดยเฉพาะ ขอบคุณที่ท่านนำทางข้ามา ขอบคุณที่ท่านพาข้าออกจากดงหมาป่านั่น” เป็นเพียงธุระแค่ประโยคเดียวเท่านั้น โจวห้าวหรันไม่ได้นำมาใส่ใจ เขาส่งสายตาให้โจวม่าวเฉินแวบหนึ่ง โจวม่าวเฉินก็รับบัญชาถอยร่นไป รอจนภายในห้องอักษรไม่มีคนนอก โจวห้าวหรันกับจ้าวชิงหยิงจึงเอ่ยถึงการใหญ่ส่วนบุคคลขึ้นมา “ท่านป้าของเจ้าคนนั้นโลภนัก ไม่ใช่คนมีเมตตา หลี่หยวนไว่นั้นข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว บุตรชายของเขาโลเล ไม่หนักแน่น เจ้าไม่เต็มใจแต่งเข้าสองบ้านนี้ก็ถูกต้องแล้ว อำเภอนี้ถึงแม้กฎเกณฑ์จะน้อย แต่ว่าใกล้กับบ้านเกิดเจ้ามาก เจ้าออกเรือนที่นี่ ทั้งสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และยังสามารถหลบหลีกจากการคุกคามในหมู่บ้านแซ่หลี่ได้ด้วย ข้าให้เชี่ยนลิ่งไปเอาสำมโนครัวมาแล้ว หนึ่งในนั้นมี...” จ้าวชิงหยิงได้ยินเข้าก็ดับฝัน “รัชทายาทอ๋องเย่ ท่านกำลังสิ่งการใด” โจวห้าวหรันปรนลมหายใจเล็กน้อย แววตาที่มองจ้าวชิงหยิงนั้นแสนจนปัญญา “เมื่อวานเจ้าโกรธขึ้นหน้า ข้าก็ปล่อยเจ้า ทว่าอายุเจ้ายังอ่อน กำลังอยู่ในวัยสะพรั่ง จะอยู่โดดเดี่ยวเป็นรูปปั้นโบราณ ตัวคนเดียวลำพังจริงๆ?” “ทำไมจะไม่ได้เล่า” จ้าวชิงหยิงมองโจวห้าวหรัน ไม่รู้ว่าทำไมดวงตาพลันรื้นชื้น “เดิมทีข้าคิดว่าท่านไม่น่าจะทำเช่นนี้ ข้าเคารพยำเกรงท่านจากใจจริง ทว่าเหตุใดท่านจึงยังต้องบังคับข้า” หลังจากจ้าวชิงหย้างกล่าวจบ ก็ไม่กล้ามองท่าทางของโจวห้าวหรันอีก เบนหน้าหนีพลางรีบสาวเท้าถลาออกไป โจวม่าวเฉินเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู มองเห็นจ้าวชิงหยิงที่ดวงตาแดงก่ำพุ่งออกมา ก็ตกใจเป็นอย่างยิ้ง “คุณหนูหลิน ท่านเป็นอันใด” จ้าวชิงหยิงไม่พูดจา วิ่งตรงดิ่งไกลออกไป โจวม่าวเฉินตะลึงเล็กน้อย ทอดมองไปยังด้านในห้องอักษร ก็เห็นว่าโจวห้าวหรับนวดเรียวคิ้วอย่างปวดหัว โจวม่าวเฉินเห็นอากัปกิริยาของสองทั้งสองนี้ ก็มีฉากละครกรูเสริมเข้ามาในความคิดของเขาจนทำให้เขากลัว เขายืนอยู่ปากประตู พลางเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ท่านอ๋อง คุณหนูหลินเป็นอะไรไปเล่า” จำนวนครั้งที่โจวห้าวหรันทอดถอนใจในวันนี้มากกว่าปีที่ผ่านมาเสียอีก “โกรธที่ข้าบังคับนางออกเรือน” ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อัยยะ เสียตกใจแทบแย่ โจวม่าวเฉินปรนลมหายใจโล่งออกโดยไม่เปล่งเสียง เขานึกถึงเรื่องของเมื่อวาน ลังเลกันอยู่ชั่วระยะสั้น สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกอ๋องเย่ หลังจากที่โจวม่าวเฉินนำเรื่องของหลี่ต๋ากล่าวออกมาเสร็จแล้ว สีหน้าของโจวห้าวหรันก็ไม่อาจมองได้โดยสมบูรณ์แล้ว บนใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยน้ำแข็งยะเยือก น้ำเสียงเดือดดาล “ทำไมเมื่อวานจึงไม่พูด” “แม่นางน้อยคนนี้ยางอายหนา จะยินดีให้คนอื่นรู้เรื่องพรรค์นี้เข้าที่ใด” โจวห้าวหรันขบคิด ในอกพลันก่อเกิดความสงสารขึ้นมามากโข เขารู้ว่านางใจร้อน จึงโวยวายพูดว่าไม่ออกเรือน ที่แท้ในส่วนลึกยังเคยวิวาทเรื่องแบบนี้ นางเป็นหญิงกำพร้าอ่อนแอ พบเจอเรื่องพรรค์นี้ก็ไร้หนทางขอความช่วยเหลือ มอแปลกใจที่ปฏิเสธการออกเรือนเช่นนี้ โจวห้าวหรันถอนใจในทรวง จากนั้นถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็มีแววเย็นชาต่างออกไปโดยสิ้นเชิง “เรียกกู้หมิงต๋าเข้ามา” กู้หมิงต๋าคือมือขวาของอ๋องเย่ โจวม่าวเฉินเมื่อได้ยินก็รู้ทันทีว่าคราวนี้อ๋องเย่เดือดดาลขึ้นมาจริงๆ แล้ว อ๋องเย่ผู้มีอำนาจบารมีสูงศักดิ์ ความรู้สึกเองก็ถูกยับยั้งมากยิ่งขึ้น น้อยนักที่จะมีช่วงเวลาปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเช่นนี้ คนทั้งครอบครัวแม่หลินทำได้เพียงนี้ ก็สมควรแล้ว
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 7 ค้านงานแต่ง
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A